แล้วรู้ไหมว่าประเทศในแถบเอเชียที่มีจำนวนเชฟหญิงผู้นำทีมไปคว้ารางวัลดาวมิชลินมากที่สุดหนีไม่พ้นประเทศไทย
ในวันสตรีสากล (International Women’s Day) ประจำปี 2567 นี้เราขอชวนทุกคนมาร่วมทำความรู้จักกับสตรีผู้เก่งกาจและมากความสามารถกับเรื่องราวเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้ปูด้วยกลีบดอกไม้ แต่พวกเธอก็ผ่านมันมาได้ รวมถึงเสียงที่เธออยากจะเปล่งบอกทุกคน
![การิมา อาโรรา เชฟหญิงชาวอินเดียคนแรกของโลกที่นำทีมร้านอาหารไปคว้าดาวมิชลิน (© อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา/ MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/24e788c1969143e7b628c59b1124e00e_lessons-8-female-chefs-thailand_%288%29.jpg)
การิมา อาโรรา (Garima Arora)
Gaa, รางวัลสองดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567หากจะพูดว่าเชฟการิมา อาโรราแห่งร้าน Gaa เป็นเชฟหญิงชาวอินเดียที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะไม่เพียงแต่เธอจะได้รับรางวัลดาวมิชลินมาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งขณะนั้นเธอมีอายุได้เพียง 32 ปีเท่านั้น เชฟการิมายังเป็นเจ้าของรางวัลพิเศษ MICHELIN Guide Young Chef Award Presented by Blancpain ในปี 2565 และล่าสุดกับการประกาศผลรางวัลมิชลินไกด์ฉบับปี 2567 เธอได้สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเป็นเชฟหญิงชาวอินเดียคนแรกผู้คว้ารางวัลสองดาวมิชลินมาครองได้สำเร็จ ที่ผ่านมาเชฟการิมายังเป็นผู้ร่วมร่วมใน Food Forward India โครงการที่มีจุดมุ่งหมายในการสืบสานประวัติศาสตร์และสานต่ออนาคตของอาหารอินเดีย เธอยังเป็นเซเลบริตี้เชฟผู้ตัดสินในรายการมาสเตอร์เชฟอินเดีย ล่าสุดหญิงเก่งคนนี้เพิ่งสวมหมวกต้อนรับบทบาทใหม่ในการเป็นคุณแม่
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “การบอกว่าผู้หญิงมีพร้อมทุกอย่างได้เป็นเรื่องโกหก ความจริงก็คือคุณมักจะต้องเสียสละชีวิตส่วนหนึ่งเพื่อไปอยู่หรือทำหน้าที่อีกส่วนเสมอ เมื่อฉันทำงานที่ร้าน ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังสูญเสียบทบาทในฐานะแม่ แต่ตอนอยู่กับลูกชาย ฉันมักจะคิดถึงหน้าที่ต้องทำที่ Gaa ฉันจึงเคารพบรรดาคุณแม่ที่ทำงานในร้านอาหารมาก คุณจำต้องสละบางอย่างเพื่อจะได้อยู่กับลูกหรืองาน คุณทำงานหนักไม่ต่างอะไรกับผู้ชาย แต่บางครั้งคุณจำต้องปฏิเสธสิ่งที่ต้องการ เพราะงานหรือลูกต้องการคุณ เป็นอะไรที่ไม่ค่อยยุติธรรม แต่ก็เป็นความจริงของชีวิต”
![เชฟแพมที่ร้านโพทงซึ่งตั้งอยู่ใจกล่างย่านเยาวราช (© อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา/ MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/f63b90785e174a69ba4b90f296e2b7a5_lessons-8-female-chefs-thailand_%283%29.jpg)
แพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ
โพทง, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567เชฟแพมเริ่มสร้างชื่อในฐานะเชฟจากการแข่งขันเชฟรุ่นเยาว์ Asia’s Youth Hope Cooking Competition เมื่อปี 2554 ทั้งยังได้รางวัลรองชนะเลิศจาก The Escoffier World Cup ซึ่งเธอเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวจากทวีปเอเชีย จากนั้นจึงศึกษาต่อที่สถาบัน The Culinary Institute of America (CIA) และทำงานที่ Jean George (รางวัลสามดาวมิชลิน ณ เวลานั้น) แล้วกลับเมืองไทย ด้วยความเก่งกาจและบุคลิกอันโดดเด่นเชฟแพมยังเป็นกรรมการให้กับรายการ Top Chef Thailand จนมาถึงปีทองในปี 2566 เมื่อเธอเปิดร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งไทย-จีน จากตึกโบราณของบรรพบุรุษ ทันทีที่ร้านโพทงเปิดบริการ ไม่เพียงคว้ารางวัลหนึ่งดาวมิชลินมาครองได้สำเร็จ แต่ยังพ่วงด้วยรางวัลพิเศษอย่าง Opening of the Year presented by UOB ที่มอบให้กับร้านอาหารเปิดใหม่ที่โดดเด่นและสร้างความสำเร็จอย่างงดงามทันทีที่เปิดตัว เธอยังเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการพัฒนาย่านทรงวาดกับโครงการ Made in Songwat และก่อตั้ง Scholarship for Female Chef (WFW) เพื่อสานฝันให้เด็กผู้หญิงที่อยากเรียนทำอาหารแต่ขาดแคลนโอกาสและทุนทรัพย์อีกด้วย
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “แพมเชื่อว่าโอกาสเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับจุดเริ่มต้น แพมเองก็ต่อสู้และฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ มา และได้รับรู้ว่าการได้รับเพียง ‘โอกาส’ นั้นสำคัญขนาดไหน เราว่าผู้หญิงเรามีความสามารถไม่ต่างกับเพศอื่นแต่ไม่มีโอกาสที่จะสานฝัน แพมอยากเป็นตัวแทนที่จะยื่นโอกาสนี้ให้กับผู้หญิงที่ไม่มีทุนทรัพย์ และอยากเป็นแรงผลักดันหรือแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้เพื่อโอกาสนี้ ผู้หญิงทุกคนมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะในสายงานอาชีพใดก็ตาม ขอแค่เพียงมีโอกาสได้แสดงฝีมือและความสามารถก็พอ”
![เชฟตามใช้วัตถุดิบพื้นบ้านทั้งหมดที่ร้านบ้านเทพาที่แปลงโฉมมาจากบ้านหลังใหญ่ย่านรามคำแหงของบรรพบุรุษของเธอ (© อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา/ MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/116376a859b64c29ac2cf0a364a2dfe3_lessons-8-female-chefs-thailand_%282%29.jpg)
ตาม-ชุดารี เทพาคำ
บ้านเทพา, รางวัลสองดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2024เชฟตามเคยฝึกงานที่ร้านชื่อดังในอเมริกาอย่าง Jean-Georges (รางวัลสองดาวมิชลิน) และเคยทำงานที่ร้าน Blue Hill At Stone Barns (รางวัลสองดาวมิชลิน และดาวมิชลินรักษ์โลก) มาก่อน และในวัยเพียง 27 ปี เชฟหญิงไทยผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คนนี้สร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยการเป็นผู้ชนะในรายการ Top Chef Thailand ซีซันแรก หลังจากเปิดร้านบ้านเทพาของตัวเองในบ้านของครอบครัว เชฟและเจ้าของร้านหญิงคนนี้ก็คว้ารางวัลดาวมิชลินดวงแรกมาครองได้สำเร็จกับคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2566 และล่าสุดในงานประกาศผลประจำปี 2567 เชฟตามได้รับทั้งรางวัลพิเศษ MICHELIN Young Chef Award และเพียงไม่กี่นาทีถัดมา เธอก็นำร้านบ้านเทพาไปสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นหญิงไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลดาวมิชลินถึงสองดวงมาครอง เชพตามและบ้านเทพายังคงมุ่งมั่นพัฒนาบนแนวทางความยั่งยืนโดยใช้วัตถุดิบพื้นบ้านทั้งหมด ทั้งยังสนับสนุนและทำงานร่วมกับเกษตรกรในท้องถิ่นอันเป็นปณิธานของร้าน
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “ชีวิตเชฟไม่ได้เหมาะกับทุกคน ต้องแน่ใจก่อนว่านี่คือสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ เราต้องพัฒนาต่อยอดตัวเองไปเรื่อย ๆ ต้องรู้สึกถึงแรงกดดันของครัวมืออาชีพ แต่เราต้องอดทน เอาชนะมันให้ได้โดยเร็ว และเราต้องโตขึ้นทุก ๆ วันด้วย ตามรู้ว่ามันยาก โดยเฉพาะในไทยที่คนไม่ชินเวลาถูกวิจารณ์เรื่องงาน แต่คุณต้องจำไว้ว่าร้านอาหารมีเป้าหมายร่วมกัน และการไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องรู้จักทำงานเป็นทีม”
![เชฟพิม เจ้าของ 3 ร้านอาหารรางวัลดาวมิชลิน (© MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/eeef41d5b073439fabb71f7227284aeb_lessons-8-female-chefs-thailand_%287%29.jpg)
พิม เตชะมวลไววิทย์
น้ำ, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567Kin Khao, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับแคลิฟอร์เนีย ประจำปี 2566
Nari, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับแคลิฟอร์เนีย ประจำปี 2566
เชื่อหรือไม่ว่าเชฟหญิงผู้คว้าดาวให้กับ 3 ร้านอร่อยใน 2 ทวีป อย่างเชฟพิม เตชะมวลไววิทย์ นั้นไม่เคยสัมผัสกับงานในครัวอาชีพเลยก่อนที่เธอจะเปิดร้านอาหารร้านแรกในชีวิต หลังจากหันหลังให้กับงานนักวิจัยในซิลิคอนแวลลีย์มาเป็นบล็อกเกอร์ด้านอาหารเต็มตัวกับ Chez Pim แต่ด้วยความหลงใหลในอาหารไทย เธอจึงเปิดร้าน Kin Khao ขึ้นมาเป็นแห่งแรกเมื่อปี 2557 และคว้ารางวัลหนึ่งดาวมิชลินมาครอง และเมื่อเชฟเดวิด ทอมป์สัน (David Thompson) วางมือจากร้านอาหารไทยชื่อดังอย่างน้ำ (รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน) ที่กรุงเทพฯ เชฟพิมจึงได้รับการทาบทามให้มาดูแล เธอเริ่มบริหารร้านน้ำมาตั้งแต่ปี 2561 ด้วยการเดินทางไปกลับระหว่าง 2 ทวีปอยู่ตลอดเวลา จนนำทีมให้รักษาดาวมิชลินมาได้นับแต่นั้น และไม่นานมานี้ร้านอาหารไทยอีกแห่งของเธออย่าง Nari ที่ซานฟรานซิสโกก็คว้าดาวมาแทบจะในทันทีที่เปิดตัว ด้วยความใส่ใจและเอาจริงเอาจังในเรื่องคุณภาพ และเห็นคุณค่าของ “มรดกอาหารไทย” ทั้ง 3 ร้านอาหารอาหารไทยที่เธอดูแลอยู่จึงไม่ขาดตกบกพร่องและยังคงรักษาดาวประดับได้จวบจนปัจจุบัน นอกจากนี้ด้วยความที่เคยต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง เธอจึงเป็นเชฟหญิงอีกคนที่หันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพและความยั่งยืน
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “ความยั่งยืนมีความหมายมาก การรับประทานอาหารปนเปื้อนสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะกับหญิงมีครรภ์และเด็กทารก มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องสนับสนุนเกษตรอินทรีย์เพื่อคนรุ่นต่อไป”
![เจ๊ไฝกับความมุ่งมั่นในการทำอาหารที่ไม่อาศัยทางลัดและลงมือปรุงด้วยตัวเองทุกจาน (© MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/0e636f848d20459a8cb4780c86e69f8f_lessons-8-female-chefs-thailand_%286%29.jpg)
สุภิญญา จันสุตะ (เจ๊ไฝ)
เจ๊ไฝ, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567ภาพจำที่ทุกคนเห็นราชินีอาหารริมทางของประเทศจนชินตาคือผู้หญิงที่มากด้วยประสบการณ์ชีวิตทว่ายังคงกระฉับกระเฉงใส่แว่นประดาน้ำปรุงอาหารอยู่หน้าเตาร้อนระอุ จากผู้หญิงที่เรียนจบเพียงชั้น ป. 4 อดีตลูกจ้างร้านตัดเสื้อผู้ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาและผันตัวมาเปิดร้านอาหารคนนี้ ด้วยคุณภาพและฝีมือปรุงที่ไม่ธรรมร้านเจ๊ไฝจึงเป็นร้านอาหารริมทางเพียงหนึ่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่ได้รับดาวมิชลินไปครองตั้งแต่คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2561 เปิดตัว ทำให้เธอโด่งดังชั่วข้ามคืนและได้ร่วมงานกับเชฟชั้นนำชื่อดังระดับสากลมากมาย รวมถึงสตรีมมิ่งค่ายยักษ์อย่าง Netflix สายการบินแห่งชาติ และแบรนด์ดังต่าง ๆ ทั้งยังเป็นทูตให้กับการท่องเที่ยวเชิงอาหารของประเทศไทย เจ๊ไฝยังคงควงตะหลิวอยู่แม้วัยล่วงเข้า 79 ปีแล้วก็ตาม แม้เธอไม่รู้ว่าจะต้องแขวนมันวันไหน แต่เจ๊ไฝก็ตั้งใจว่าจะยังคงทำมันต่อไปตราบเท่าที่ยังมีแรง
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “ฉันเองอายุมากแล้ว คิดว่าอนาคตของร้านเราก็เป็นสิทธิ์ของรุ่นลูกหลาน เขาอาจได้สมบัติของเราไป แต่เขาจะนำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร ตรงนี้ก็เป็นสิทธิ์และอนาคตของเขา ฉันเชื่อว่าเขาต้องทำได้ คนรุ่นใหม่เก่ง เรามองเห็นอนาคตไกลในตัวเขาว่าจะต้องทำอะไรดี ๆ ได้อีกหลายอย่าง การทำอาหารโดยเฉพาะอาหารดี ๆ นั้นไม่มีวันสิ้นสุดหรอก”
![เชฟหญิงชาวมาเลเซียผู้นำร้าน Mia ในกรุงเทพฯ ไปคว้ารางวัลหนึ่งดาวมิชลินมาครอง (© Mia)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/01c9935ed4e54cb98e25a3eb52f7772e_lessons-8-female-chefs-thailand_%289%29.jpg)
มิเชลล์ โกห์ (Michelle Goh)
Mia, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567เพสทรีเชฟคนเก่งอย่างมิเชลล์เกิดและโตที่กูชิง เมืองเล็ก ๆ ในหมู่เกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย เมื่ออายุ 18 ปี เธอตัดสินใจจากบ้านเกิดเพื่อออกเดินทางตามความฝัน หลังจากที่เรียนจบจาก Le Cordon Bleu ในซิดนีย์ เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในออสเตรเลียอยู่สักพัก แล้วจึงย้ายไปประจำที่ร้าน Pollen ในสิงคโปร์ จนอายุ 23 มิเชลล์ก็โยกย้ายอีกครั้งมายังกรุงเทพฯ เพื่อเป็นเพสทรีเชฟให้กับร้าน Sühring ที่ได้รับรางวัลสองดาวมิชลินในเวลาต่อมา เธอและคนรัก เชฟท็อป-พงศ์ชาญ รัสเซล (Pongcharn ‘Top’ Russell) เป็นหัวเรือใหญ่ของร้านมีอา โดยปลุกปั้นจนร้านอาหารที่ได้รับการคัดเลือกในคู่มือก่อน ๆ หน้า ไปคว้ารางวัลดาวมิชลินดวงแรกมาครองได้สำเร็จ ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “คุณอาจรู้สึกล้าเมื่ออยู่ในโลกของงานครัวที่เต็มไปด้วยผู้ชาย และคุณต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเพื่อจะมีคนเห็นผลงาน แต่อย่าให้ใครมาบอกว่าคุณทำไม่ได้ ถ้าอยากให้คนอื่นได้ยินเสียง จงลุกขึ้นพูด มั่นใจในตัวเอง การทำงานหนักจะทำให้เราได้รับการเคารพ”
![เชฟบานเย็น เรืองสันเทียะไต่เต้าจากการเป็นแม่บ้านสู่แม่ครัวร้านอาหารรางวัลดาวมิชลิน (© MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/c60a601351304f8d87220bf1bb843274_lessons-8-female-chefs-thailand_%284%29.jpg)
บานเย็น เรืองสันเทียะ
สวนทิพย์, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567จากเด็กสาวชนบทผู้ยากจนในโคราชเคยรับจ้างแบกมันแลกค่าแรงวันละ 10 บาท เมื่อถึงวัยเพียง 13 ปี เด็กหญิงบานเย็น เรืองสันเทียะ หรือ ‘บุญมี’ ระหกระเหินมาเสี่ยงโชคเป็นแม่บ้านในกรุงเทพฯ เธอค่อย ๆ พัฒนาฝีมือด้านการครัวขึ้นมาทีละน้อยจากการฝึกฝนโดยนายจ้าง ด้วยความใส่ใจและใฝ่รู้ค่อย ๆ เรียนรู้แบบครูพักลักจำมาเรื่อย ๆ ภายหลังตระกูลกิตติขจรได้ปรับเปลี่ยนกิจการโรงผ้าริมน้ำในจังหวัดนนทบุรีให้กลายเป็นร้านอาหารสวนทิพย์เมื่อปี 2528 เธอจึงได้รับการชักชวนให้มาช่วยทำงานภายในร้าน ไต่เต้าจากเด็กเก็บโต๊ะ แล้วจึงได้เข้ามาช่วยงานในครัว ภายหลังเมื่อป้าสะอิ้ง จิตบรรเทา อดีตหัวหน้าแม่ครัวของสวนทิพย์หมดหน้าที่ลง เจ้าของจึงไว้วางใจให้ป้าบุญมีขึ้นเป็นหัวหน้าแม่ครัวแทน เธอรังสรรค์เมนูจากสูตรดั้งเดิมของตระกูลกิตติขจร และเมนูอาหารไทยมากมายที่อร่อยเรียบง่ายในแบบฉบับของตัวเอง จนร้านสวนทิพย์ได้รับรางวัลหนึ่งดาวมิชลินมาตั้งแต่ปี 2562 จวบจนทุกวันนี้ เรื่องราวของป้าบุญมีคือบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งผู้มีใจรักในอาหารและไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาจนได้ดีอย่างแท้จริง
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: “วัยเด็กป้ายากลำบากมาก เส้นทางชีวิตกว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ได้โรยกลีบกุหลาบ ป้าเรียนจบแค่ ป.4 เขียนหนังสือไม่ค่อยได้ไม่มีความรู้อะไรเลย แต่เรามีใจรักในอาหาร อยากให้ลูกค้าได้กินของอร่อย คนทำอาหารทำแค่ผิวเผินไม่ได้หรอก ต้องใจรักจริง ๆ”
![เชฟต้อย คนครัวมากฝีมือจากเชียงใหม่ (© อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา/ MICHELIN Guide Thailand)](https://d3h1lg3ksw6i6b.cloudfront.net/media/image/2024/03/07/377e0f7d1b8d4577a3ab59c8844f1bb2_lessons-8-female-chefs-thailand_%285%29.jpg)
ต้อย-พิไลพร คำหนัก
เสน่ห์จันทน์, รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน, คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2567แม้จะมีพื้นเพเป็นคนเชียงใหม่ แต่ก็ใช่ว่าเชฟสาวผู้นี้จะเชี่ยวชาญเฉพาะอาหารไทยภาคเหนือเท่านั้น เธอโดดเด่นในการรังสรรค์อาหารไทยตำรับชาววังชั้นสูงอันละเมียดละไมชนิดหาตัวจับได้ยาก ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนผสานใจรักในอาหารไทยดั้งเดิม ทำให้อาหารเชฟต้อยมีรสชาติอย่างไทยแท้ที่คนอาจหลงลืมหรือไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนมา หัวหน้าเชฟหญิงแห่งร้านเสน่ห์จันทน์ผู้นี้นำเสนออาหารไทยที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ผ่านรสชาติอันละเอียดอ่อนประณีต แต่ก็ใช่ว่าเชฟต้อยจะทำอาหารตามสูตรดั้งเดิมเสมอไป เชฟหญิงชาวไทยผู้นี้ยังปรุงใส่ความสร้างสรรค์ด้วยการนำเทคนิคอาหารฝรั่งเศสมาสอดแทรกเข้าไปได้อย่างแยบยลจนออกมาเป็นเมนูอาหารไทยที่น่าสนใจมีเสน่ห์น่าค้นหาไม่แพ้กัน จนทำให้เสนห์จันทน์ยังคงสามารถรักษามาตรฐานดาวมิชลินเอาไว้ได้เสมอมา และเป็นห้องอาหารไทยรับรองแขกบ้านแขกเมืองแห่งสำคัญของกรุงเทพฯ ที่คอยต้อนรับผู้คนจากแดนไกลที่อยากลิ้มรสชาติอาหารไทยแท้ ๆ
เสียงที่เชฟหญิงคนนี้อยากบอก: "เราเกิดมาในครอบครัวธรรมดาในต่างจังหวัดซึ่งถูกสอนว่าลูกผู้หญิงจะต้องรักในการทำอาหารเพื่อเป็นทักษะติดตัว นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นเชฟ เราชอบสังเกตและใส่ใจในทุกรายละเอียดขั้นตอนในการปรุงอาหาร เพื่อให้คนที่ได้กินรับรู้ถึงความใส่ใจและรสชาติที่อร่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้หญิงอย่างเราจะผ่านแรงกดดันและคำวิจารณ์ต่าง ๆ นานา ทั้งคำติ คำชม ในครัวอาชีพที่ยังมีผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ด้วยใจรักในการทำอาหาร เราจึงข้ามผ่านความรู้สึกที่แย่เหล่านั้นไปได้ และทำให้เรารู้สึกภูมิใจในอาชีพเชฟในที่สุด"
ภาพเปิด: © MICHELIN Guide Thailand, Mia