บทสัมภาษณ์ 5 minutes 10 กุมภาพันธ์ 2021

คู่รักเบื้องหลังความสำเร็จของร้านอาหารรางวัล ‘มิชลิน ไกด์’ ในเอเชีย

วันวาเลนไทน์ปีนี้เราขอเฉลิมฉลองให้กับความรักที่เป็นวัตถุดิบลับของอาหารชั้นเลิศ

ว่ากันว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แต่จะเป็นอย่างไรถ้าคุณต้องเปิดร้านอาหารร่วมกับคู่ชีวิตของคุณ? วันวาเลนไทน์ปีนี้เราจะได้ใกล้ชิดและทำความรู้จักกับคู่รักที่อยู่เบื้องหลังร้านอาหารรางวัล 'มิชลิน ไกด์' ยอดนิยมของเอเชีย ได้รับรู้เรื่องราวการพบกันของพวกเขา สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน และที่สำคัญที่สุดคือสูตรลับที่ช่วยรักษาความรักให้ยืนนาน

เก็บภาพประทับใจระหว่างที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันใน Cheek Bistro (ภาพ: Simon Pynt)
เก็บภาพประทับใจระหว่างที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันใน Cheek Bistro (ภาพ: Simon Pynt)

สิงคโปร์

Cheek Bistro
รางวัลหนึ่งดาวมิชลินจากคู่มือ 'มิชลิน ไกด์' ฉบับประเทศสิงคโปร์ ประจำปี 2562

Rishi Naleendra และ Manuela Toniolo รู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงานในร้านอาหารที่เมลเบิร์นตั้งแต่ปี 2548 และแต่งงานกันมา 10 ปีแล้ว พวกเขาร่วมกันเปิดร้านอาหารออสเตรเลียสมัยใหม่ในสิงคโปร์ชื่อ Cheek By Jowl เนื่องจากความใฝ่ฝันที่อยากทำงานเคียงข้างกันในร้านอาหารของทั้งคู่ ในขณะที่ Naleendra ปรุงอาหารอยู่ในห้องครัวราวกับมีเวทมนตร์ Toniolo ก็ช่วยบริหารจัดการทั้งรับรองแขกและดูแลธุรกิจให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น Cheek By Jowl ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Cheek Bistro ได้รับรางวัลจากคู่มือมิชลินไกด์มาตั้งแต่ปี 2560 และตอนนี้ทั้งคู่ได้ครอบครองอาณาจักรเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารชั้นเลิศอย่าง Cloudstreet และ Kotuwa ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับบริษัทของศรีลังกา “หลายคนคิดว่าการทำงานร่วมกับภรรยาเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ผมกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย แต่เธออาจจะคิดว่ามันยากก็ได้” เขากล่าวพร้อมกับหัวเราะ “ถ้าไม่มีเธอผมคงไม่มีอะไรเลย เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของผมครับ”

Daniel Negreira และ Terri Chu จากร้านอาหารรางวัลมิชลินเพลต Hidden by DN
Daniel Negreira และ Terri Chu จากร้านอาหารรางวัลมิชลินเพลต Hidden by DN

ไต้หวัน 

Hidden by DN
รางวัลมิชลิน เพลทจากคู่มือ 'มิชลิน ไกด์' ฉบับไทเปและไถจง ประจำปี 2563

ร้านอาหารรางวัลมิชลิน เพลท Hidden by DN ในไทเปทำให้นักชิมต้องประหลาดใจด้วยรสชาติอาหารแบบร่วมสมัยของสเปน โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่และวัตถุดิบที่ดีที่สุดของไต้หวัน ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สร้างแรงบันดาลใจเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากเคมีระหว่างเชฟ Daniel Negreira และผู้จัดการร้าน Terri Chu

Negreira และ Chu พบกันครั้งแรกในปี 2552 โดย Chu เข้ามาทำงานที่ El Toro ร้านอาหารแห่งแรกของ Negreira ในไต้หวัน “ตอนนี้เรามีแต่รอยยิ้ม แต่ตอนนั้นเราจำได้ว่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักเท่าไหร่ เพราะผมบอกให้เธอมาทำงานวันแรกในวันเกิดตัวเอง เธอเกือบจะไม่มาทำงานแล้ว แต่ผมเดาว่าคงเป็นเพราะโชคชะตาและบุคลิกที่อ่อนโยนของเธอที่ทำให้เราได้รักกัน" Negreira เล่า พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเกือบ 9 ปีแล้ว

หลังจากทำงานร่วมกันมาประมาณ 11 ปี Negreira กล่าวว่า “สิ่งที่ดีที่สุดของการทำงานร่วมกันคือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็มีคนคอยอยู่เคียงข้างที่เข้าใจคุณทุกอย่าง ไม่เพียงแต่เป้าหมายและความทะเยอทะยานในอาชีพของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์ของคุณอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้นมาก” เขากล่าวเสริมอย่างตรงไปตรงมาว่าตนเคยคิดว่าสามีภรรยาไม่ควรทำงานร่วมกันเหมือนที่คนอื่น ๆ ทำ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วแล้วว่าหากความสัมพันธ์อยู่บนพื้นฐานของความเคารพและความรัก มันจะกลายเป็นข้อดีมากกว่า “เราคงไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ถ้าไม่มีกันและกัน”


“เมื่อคุณมีคนรู้ใจอยู่เคียงข้างตลอดเวลา คุณจะรู้สึกมั่นใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และด้วยการทำงานเป็นทีมที่มีเป้าหมายชัดเจน คุณจะประสบความสำเร็จเพราะคุณทั้งสองต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน”

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทาย Negreira ยอมรับ แต่ทั้งเขาและ Chu ต่างไม่ได้เครียดกับการทำงานร้านอาหารมากนัก แต่ทั้งคู่สนใจเรื่องการหาความสมดุลระหว่างการทำธุรกิจและความต้องการของครอบครัวมากกว่า แน่นอนว่าพวกเขามีความเห็นไม่ตรงกันในหลาย ๆ เรื่อง “ในตอนแรกผมเคยเอาความคิดของตัวเองเป็นหลัก แต่ผมได้เรียนรู้ที่จะทิ้ง 'อัตตาของเชฟ' และฟังคำแนะนำของ Terri ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการในตอนแรก แต่สุดท้ายมันก็ดีสำหรับทั้งเราและร้านของเรา"

“เธอทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น และเป็นเชฟที่เก่งขึ้นอีกด้วย” เขากล่าว

roganic-ash-salmon-Teigen-Jai Morrison-valentine's-day-michelin-guide-power-couple.jpeg

ฮ่องกง 

Roganic
รางวัลหนึ่งดาวมิชลินและดาวรักษ์โลกจากคู่มือ 'มิชลิน ไกด์' ฉบับฮ่องกง มาเก๊า ประจำปี 2564

เมื่อ Teigen Jai Morrison หรือ TJ มาสมัครงานที่ Roganic หัวหน้าเชฟอย่าง Ashley Salmon ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอไม่น้อย “เมื่อรู้ว่าเธอเคยทำงานที่ Marcus Wareing เหมือนผม ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และเธอจะต้องได้รับการฝึกอบรมที่ยอดเยี่ยม ประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารที่ได้รับรางวัลมิชลินส่งผลดีต่อมุมมองของเราทั้งในเรื่องอาหารและแวดวงอาหาร” Salmon เล่าถึงเรื่องราวในอดีตของทั้งคู่ TJ ซึ่งตอนนี้เป็นหัวหน้าเชฟอาวุโสเห็นด้วยและเสริมว่า “เราทุ่มเทและชื่นชอบในงานฝีมือและวงการอาหารเหมือนกันมาตั้งแต่ต้นค่ะ”

แม้ว่าทั้งคู่จะทำงานที่ร้านเดียวกัน แต่หน้าที่และความรับผิดชอบนั้นแยกจากกันค่อนข้างชัดเจน Salmon จัดการภายในครัว เขาคอยตรวจสอบความเรียบร้อยและคิดค้นอาหารจานใหม่ ในขณะที่บทบาทของ TJ เปลี่ยนไปทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องดูแลส่วนไหนของครัว นอกเหนือจากความท้าทายที่เห็นได้ชัดในการทำงานในห้องครัวเนื่องจากมาตรฐานที่สูงและชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน ทั้งคู่ยังมองเห็นข้อดีของการทำงานในที่ทำงานเดียวกัน “เรารักษาความเป็นมืออาชีพ และแยกแยะความสัมพันธ์กับเรื่องงานออกจากกัน” TJ กล่าว “ ฉันคิดว่าเราได้รับประโยชน์จากการแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน เพราะมันผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าและพูดคุยถึงแนวคิดใหม่ ๆ ทั้งในและนอกที่ทำงาน” Salmon กล่าวเสริมว่าเมื่อร้านอาหารของพวกเขาได้รับรางวัล มันเป็น “เรื่องน่ามหัศจรรย์ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์นั้นด้วยกัน”

Salmon กล่าวชม TJ ในเรื่อง “มีประสาทรับรสที่ดีและเข้าใจสมดุลของรสชาติ” Salmon กล่าวว่าเขาภูมิใจกับเอิร์ลเกรย์และชีสหวานที่พวกเขาร่วมกันรังสรรค์เป็นอย่างยิ่ง เมนูนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากชาที่มีท็อปปิ้งเป็นโฟมชีสที่พวกเขาพบในฮ่องกง

Matteo Morello และ Jojo Hui แห่งร้านอาหารรางวัลมิชลินเพลต Castellana
Matteo Morello และ Jojo Hui แห่งร้านอาหารรางวัลมิชลินเพลต Castellana

Castellana
รางวัลมิชลิน เพลทจากคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับฮ่องกง มาเก๊า ประจำปี 2564

เนื่องจากสนใจในอาหารและไวน์รสเลิศเหมือนกัน Matteo Morello และ Jojo Hui จึงตัดสินใจเปิดร้าน Castellana ในฮ่องกงด้วยกัน ในฐานะเจ้าของร่วม Morello ดูแลกิจกรรมรายวัน ตั้งแต่การพัฒนาเมนูร่วมกับหัวหน้าเชฟ Fabio Palombini ของ Castellana ไปจนถึงการบริการลูกค้าและดูแลรายการไวน์ร่วมกับหัวหน้า F&B ของร้านอย่าง Roberto Ame ในขณะที่ Hui ดูแลด้านการเงินและบริหารจัดการร้าน ทั้งคู่เพิ่งเปิดโรงแรม Hotel San Giovanni ใน Saluzzo ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน Castellana San Giovanni Saluzzo เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่อยู่ด้านล่างของเทือกเขาแอลป์ ใกล้กับ Alba เมืองแห่งการทำอาหารที่มีชื่อเสียง และโด่งดังในเรื่องเห็ดทรัฟเฟิลขาวและ Barbaresco ซึ่งเป็นไวน์ที่เป็นสัญลักษณ์ในการรับประทานอาหารร่วมกันครั้งแรก

เมื่อพูดถึงการทำร้านอาหารร่วมกัน ปี 2563 ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นปีที่ท้าทายที่สุดปีหนึ่ง “เราพยายามไม่ให้ความคิดเห็นที่ต่างกันในเรื่องงานกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของเรา” Morello ยอมรับ “แต่ไม่มีอะไรจะคุ้มค่าไปกว่าการได้เห็นลูกค้าแสดงสีหน้าพึงพอใจในร้านอาหารที่เราร่วมกันสร้างขึ้นมาอีกแล้ว” เมื่ออยู่ที่บ้าน อาหารเป็นการแสดงออกถึงภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของทั้งสองคนที่มาบรรจบกันบนโต๊ะอาหาร “เราเพลิดเพลินกับอาหารอิตาเลียนหรืออาหารจีนที่หลากหลายเป็นประจำทุกสัปดาห์ บางครั้งเราก็เคยทานอาหารสองสัญชาติในมื้อเดียวค่ะ” Hui กล่าว

mia-thailand-michelin-guide-top-michelle-bangkok-min.jpg

ประเทศไทย

Mia 
รางวัลมิชลิน เพลทจากคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2564

แม้ทั้งคู่จะเป็นเชฟคนสำคัญของร้าน Mia ในกรุงเทพฯ แต่พงศ์ชาญ "ท็อป" รัสเซล เชฟชาวอังกฤษ - ไทยและ Michelle Goh เชฟขนมหวานที่เกิดในมาเลเซียกลับตกหลุมรักกันในครัวที่ Pollen ในสิงคโปร์ ทั้งคู่เพิ่งฉลองครบรอบ 5 ปีเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

แม้จะแข่งขันกันในฐานะเชฟได้อย่างเท่าเทียม แต่พวกเขาก็สร้างสมดุลในการทำงานเคียงคู่กันที่ Mia Goh ทำให้ท็อปติดดินเมื่อเขา "ทะยานไปสู่จุดสูงสุด" ในทางตรงกันข้าม ท็อปผู้อ่อนโยนก็ให้กำลังใจเธอทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ในฐานะเชฟ แม้ต่างฝ่ายต่างมีความทะเยอทะยานและมีแรงผลักดันในตัวเอง แต่ทั้งคู่ก็พบว่าความเข้าใจ การยอมรับ และการประนีประนอมล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีในชีวิตคู่

ทีมงานของ Mia ได้รับแรงผลักดันจากความคิดสร้างสรรค์และมุมมองเชิงบวกของ Top ในขณะที่ Goh ยังคงรักษามาตรฐานร้านอาหารของตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อไม่นานมานี้ Goh ยังเป็นคนกระตุ้นให้ Top รักษารูปร่างและดูแลตัวเองร่วมกับเธออีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: วาเลนไทน์นี้ไปไหน? รวมร้านโรแมนติกระดับดาวมิชลินเพื่อวันแห่งความรักประจำปี 2564

Yun Dae-hyun และ Kim Hee-eun แห่งร้านอาหารรางวัลมิชลิน เพลท Soul
Yun Dae-hyun และ Kim Hee-eun แห่งร้านอาหารรางวัลมิชลิน เพลท Soul

โซล

Soul
รางวัลมิชลิน เพลทจากคู่มือ 'มิชลิน ไกด์' ฉบับกรุงโซล ประจำปี 2564

Yun Dae-hyun และ Kim Hee-eun เป็นเชฟและเจ้าของร่วมของร้านอาหารรางวัลมิชลินเพลตอย่าง Soul ในกรุงโซล ที่นักชิมสามารถลิ้มลองอาหารรสเลิศอย่างมีสไตล์ได้ ทั้งคู่ร่วมกันนำเสนอวัฒนธรรมการทำอาหารและวัตถุดิบที่หลากหลายซึ่งพบได้ในเกาหลียุคปัจจุบัน ผสมผสานกับรสชาติที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เพื่อรังสรรค์อาหารฟิวชั่นที่ไม่เหมือนใคร

พวกเขาฝันที่จะทำงานร่วมกันนับตั้งแต่เริ่มออกเดต ซึ่งฝันนั้นได้กลายเป็นจริงหลังจากทั้งคู่แต่งงานได้ไม่นาน “ชีวิตของเชฟเป็นชีวิตที่โดดเดี่ยว ในขณะที่คนอื่นกำลังเฉลิมฉลองกัน แต่คุณต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา และแม้ว่าคุณจะทำอาหารให้คนอื่น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตัวเองจะได้กินอาหารดีๆ การแต่งงานเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งผมได้มาพบกับ Hee-eun” Yun กล่าว

ในขณะเดียวกัน Kim เคยศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบเซรามิก แต่ไม่ช้าเธอก็พบว่าความทะเยอทะยานของเธอไม่ได้เกิดจากภาชนะที่บรรรจุ แต่เกิดจากวัตถุดิบที่อยู่ในนั้น เธอจึงผันตัวมาเริ่มต้นอาชีพที่ร้านอาหารของโรงแรมและพัฒนาตัวเองในฐานะนักวิจัยและเชฟด้านการทำอาหาร ต่อมาเธอได้พบกับ Yun ทั้งคู่จึงเริ่มฝันถึงอนาคตร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจและสนับสนุนซึ่งกันและกันได้

ที่ Soul คู่แต่งงานที่แสนสุขแสดงความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาโดยการผสมผสานเทคนิคการทำอาหารตะวันตกของ Yun เข้ากับศิลปะในแบบเกาหลีของ Kim “ร้านอาหารของเราเป็นสถานที่ที่ผู้คนไม่เพียงแต่เพลิดเพลินกับอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรยากาศการต้อนรับและอื่น ๆ อีกด้วย ฉันไปตลาดดอกไม้เพื่อตกแต่งร้านอาหารของเราทุกสัปดาห์ นอกจากนี้เรายังออกแบบจานของตัวเองเพื่อให้เข้ากับอาหารที่เราเสิร์ฟอีกด้วย มันเป็นบ้านของเรา และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแขกทุกคนจะพบกับความสุขเมื่อมาเยือนร้านของเรา” คิมกล่าว

อ่านต่อ: 6 อาหารจากครัวนานาชาติที่ช่วยปลุกพลังรักให้ลุกโชนมีอะไรบ้าง?


บทความนี้เขียนโดย Pearl Yan ในฮ่องกง, พฤภัทร ทรงเที่ยง จากกรุงเทพฯ, Rachel Tan จากสิงคโปร์, Ming Ling จากไทเป และ Julia Lee จากโซล

บทสัมภาษณ์

ดูอย่างอื่นต่อ - เรื่องราวที่คุณอาจสนใจ