เพราะเป็นคำพ้องเสียงที่มีความหมายถึง "โชคดี" และ “ความเจริญรุ่งเรือง” จึงไม่น่าแปลกใจที่ “ไก่” เป็นอาหารที่พบเห็นได้ทั่วไปในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองและโอกาสพิเศษของชาวจีน อย่างไรก็ตาม การค้นหาไก่ที่สมบูรณ์แบบคู่ควรกับร้านอาหารจีนกวางตุ้งระดับรางวัลดาวมิชลินที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ลองถามทีมงานห้องอาหาร Yu Ting Yuan ซึ่งนำโดยเชฟอันเดรอา อักกอร์ดี (Andrea Accordi) หัวหน้าพ่อครัวชาวอิตาเลียนของโรงแรมนี้ดูก็ได้ เขาเริ่มต้นร่วมมือกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกในท้องถิ่นและมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทยมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อเพาะเลี้ยงไก่พันธุ์พิเศษสำหรับร้านอาหารแห่งนี้โดยเฉพาะ นับเป็นความพิถีพิถันเฉกเช่นเดียวกับ S.Pellegrino ซึ่งยืนหนึ่งในฐานะน้ำแร่อัดแก๊สธรรมชาติที่ดีที่สุดมาเป็นเวลากว่า 120 ปี ไก่พิเศษของ Yu Ting Yuan นั้นได้รับอาหารสูตรเฉพาะ แถมยังเลี้ยงดูด้วยกรรมวิธีพิเศษอื่น ๆ ซึ่งได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานความนุ่มและรสชาติเลอเลิศ เพื่อให้คู่ควรสำหรับเสิร์ฟที่หยู้ ทิง หย้วนจริงๆ
“ความเป็นต้นตำรับในศาสตร์การปรุงอาหารสามารถเริ่มต้นกันได้ตั้งแต่จากส่วนผสม” เชฟอันเดรอากล่าว “ทั้งยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ช่วยสนับสนุนเกษตรกรและตลาดท้องถิ่น ทำให้เกิดความเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริงระหว่างอาหารและเหล่าผู้คนที่เพาะปลูกและเลี้ยงดูพวกมันขึ้นมา”
เนื้อสัตว์ปีกที่เลี้ยงด้วยกรรมวิธีสุดพิถีพิถันดังกล่าวเตรียมเปิดตัวในเมนูของ Yu Ting Yuan ในชื่อ “Cui Pi Ji” (Crispy Chicken) อันเป็นเมนูที่ประทับอยู่ในความทรงจำวัยเด็กของเชฟเฉิง กวั๊กปง หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในนามทอมมี เฉิง (Kwok Pong “Tommy” Cheung) ผู้เป็นเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟประจำห้องอาหาร “เมนูนี้เป็นอาหารจานพิเศษในใจของผมและครอบครัว ไม่เพียงเพราะรสชาติที่อร่อยล้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการได้ใช้เวลาอบอุ่นอยู่ร่วมกันอีกด้วย” เชฟทอมมีกล่าว
ความหลงใหลในอาหารสุดพิถีพิถันที่เปรียบได้ดั่งงานฝีมือของเชฟทอมมีนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากวัยเด็กของเขาที่หมกมุ่นอยู่กับภูมิหลังด้านการทำอาหารของครอบครัวในฮ่องกงบ้านเกิด ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมาเชฟสั่งสมทักษะความเชี่ยวชาญด้านงานครัวมามากมาย รวมถึงในร้านอาหารชื่อดังอย่าง Lai Ching Heen ร้านรางวัลสองดาวมิชลินในฮ่องกง และ Ya Ge ร้านรางวัลหนึ่งดาวมิชลินในไทเป ก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงยังกรุงเทพฯ
“ไก่กรอบ Cui Pi Ji เป็นมากกว่าอาหารจานเดียว” เขากล่าว “มันเป็นการเดินทางที่ทอดยาวจากรุ่นสู่รุ่น เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีถึงทักษะการทำอาหาร ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศตนเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของอาหารกวางตุ้ง เป็นส่วนหนึ่งของทั้งประวัติศาสตร์ และยังเป็นเรื่องราวการทำอาหารของผม ซึ่งผมเองตื่นเต้นมากที่จะได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้”
คล้าย ๆ กับที่แบรนด์ S.Pellegrino ได้สืบสานประเพณีแห่งความเป็นเลิศ ซึ่งสืบทอดกันมายาวนานถึงกว่า 120 ปี เพื่อนำน้ำแร่อัดแก๊สธรรมชาติที่ดีที่สุดมาสู่โต๊ะรับประทานอาหารชั้นเลิศในกรุงเทพฯ นั่นก็เพราะทางแบรนด์เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมหัวใจว่า “โต๊ะอาหารเป็นมากกว่าสถานที่เพื่อการรับประทาน ทว่ายังเป็นพื้นที่แห่งการส่งเสริม เชื่อมต่อ และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย”
ด้านเชฟดาวิเด การาวาเกลีย (Davide Garavaglia) ผู้เกิดในอิตาลีและนำผลงานสร้างสรรค์ด้านอาหารสุดเลอเลิศของเขามาเสิร์ฟถึงโต๊ะที่ Côte by Mauro Colagreco ร้านอาหารรางวัลหนึ่งดาวมิชลินซึ่งให้บริการอาหารฝรั่งเศสและอาหารอิตาเลียนริเวียราที่ตีความใหม่อย่างทันสมัย แม้ว่าเขาจะตกลงใจมุ่งสู่อาชีพพ่อครัวตามคำแนะนำของเพื่อน ทว่าเขายังคงจดจำช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้เฝ้าดูและเรียนรู้จากคุณปู่ของเขาในขณะที่กลิ่นหอมของซุปซีฟูดบุยยาเบสกำลังเคี่ยวจนหอมฟุ้งไปทั่วทั้งครัวได้เสมอ
อาหารของ Côte by Mauro Colagreco ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาในลิสต์ของ ‘มิชลิน ไกด์’ ซึ่งตั้งอยู่ในโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mirazur ร้านอาหารของเชฟเมาโร โคลาเกรโค (Mauro Colagreco) ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้รับรางวัลสามดาวมิชลิน และดาวมิชลินรักษ์โลก ประจำปี 2566 โดยดาวิเดผู้เป็นศิษย์เอกและทำงานใน Mirazur ณ ขณะนั้นได้รับความไว้วางใจให้นำปรัชญาการทำอาหารของเชฟโคลาเกรโคเดินทางมุ่งสู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
“เราใช้วิธีปรุงอาหารอย่างธรรมชาติและคำนึงถึงฤดูกาลของผลผลิต” เชฟดาวิเดกล่าว “ปรัชญาความเรียบง่ายของเราช่วยให้สามารถเน้นคุณลักษณะที่โดดเด่นของส่วนผสมแต่ละอย่าง รวมถึงปล่อยให้วัตถุดิบเหล่านั้นเผยรสชาติของตัวเองออกมาได้โดยที่คนเป็นเชฟอย่างเราไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากนัก”
เช่นเดียวกับอาหารเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Mirazur เมนูของ Côte by Mauro Colagreco ยังคงเน้นอาหารทะเลและผลผลิตตามฤดูกาล ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คืออาหารเบา ๆ รับประทานง่ายที่ใช้น้ำมันมะกอกแทนเนย โดยใช้วัตถุดิบอาหารทะเลคุณภาพเยี่ยมที่สุด รวมถึงกุ้งแดงเมดิเตอร์เรเนียน ผลไม้ สมุนไพร และดอกไม้กินได้ในท้องถิ่น
“ส่วนผสมพื้นฐานคือจุดเริ่มต้นของอาหารที่ดีและอร่อย ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับคุณภาพของส่วนผสมเป็นอันดับแรกเสมอ จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับเชฟที่จะถ่ายทอดความรู้และสไตล์การทำอาหารของตนลงในส่วนผสมเพื่อสร้างสรรค์เมนูตามแบบฉบับของเรา” แอนโทนี ชอลท์เมเยอร์ (Antony Scholtmeyer) เชฟใหญ่แห่งโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ กล่าว
ยกเว้นอาหารจานหนึ่ง ซึ่งนอกจากเสิร์ฟที่นี่แล้วยังเสิร์ฟที่ร้านต้นตำรับอย่าง Mirazur ด้วยเช่นกัน นั่นคือบีตรูตกับครีมคาเวียร์และขนมปังของทางร้านซึ่งอบในเตาถ่าน (เสิร์ฟกับน้ำมันมะกอกผสมมะนาวของ Menton ที่ผลิตเป็นพิเศษสำหรับร้านอาหารสองแห่งนี้โดยเฉพาะ) ทั้งนี้ผู้ดูแลครัวของ Côte by Mauro Colagreco อย่างเชฟดาวิเดยังได้รับรางวัล MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ประจำปี 2566 เชฟหนุ่มผู้นี้สร้างสรรค์อาหารด้วยแนวทางที่ทันสมัย แต่ยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและธรรมเนียมของทั้งครัวฝรั่งเศสและอิตาเลียนริเวียรา
“ผมพยายามนำสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครมาเสิร์ฟบนโต๊ะ” เชฟหนุ่มชาวอิตาเลียนบอก “พยายามที่จะซื่อสัตย์กับตัวเองโดยแสดงออกผ่านอาหาร”
เช่นเดียวกับเชฟมากความสามารถคนอื่น ๆ ที่มาจากภูมิหลังอันหลากหลาย ทั้งเชฟดาวิเดและเชฟทอมมียังคงนำสิ่งที่ดีที่สุดของตนมาเสิร์ฟ โดยนำเสนอรสชาติอันเป็นธรรมเนียมจากบ้านเกิดด้วยการรังสรรค์อาหารจานเด็ดสุดพิถีพิถันของพวกเขา เสริมเคียงข้างด้วยน้ำแร่ธรรมชาติจาก S.Pellegrino ที่ชุมชนเชฟไว้วางใจ ทั้งยังช่วยจุดประกายแรงบันดาลใจรวมถึงสร้างคุณค่าให้กับร้านอาหารในกรุงเทพฯ และยังมีส่วนในการสนับสนุนให้ภูมิทัศน์ด้านอาหารนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
สำรวจประสบการณ์รับประทานอาหารรสเลิศอันเยี่ยมที่สุดจากทั่วโลกและเพลิดเพลินกับรสชาติของชีวิตแบบอิตาเลียนได้ที่ห้องอาหาร Côte by Mauro Colagreco รางวัลหนึ่งดาวมิชลิน ที่โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ และห้องอาหาร Yu Ting Yuan ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เกี่ยวกับ S.Pellegrino และ Acqua Panna
S.Pellegrino และ Acqua Panna คือเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศของ Sanpellegrino S.p.A. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี จัดจำหน่ายในกว่า 150 ประเทศ ผ่านสาขาและผู้จัดจำหน่ายในทั้ง 5 ทวีปทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบรนด์นี้ล้วนแสดงออกถึงคุณภาพและความเป็นเลิศจากแหล่งต้นกำเนิด และสื่อถึงความเป็นสไตล์อิตาลีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นภาพสะท้อนถึงความสุข สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี Sanpellegrino S.p.A. ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1899 โดยเป็นบริษัทชั้นนำในภาคเครื่องดื่มของอิตาลี นำเสนอน้ำแร่ เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มต่าง ๆ Sanpellegrino มุ่งมั่นที่จะยกระดับความดีงามอันเป็นแกนหลักในการดำเนินกิจการมาโดยตลอด รวมถึงมีความรับผิดชอบ และกระตือรือร้น เพื่อให้แน่ใจว่าดำเนินธุรกิจและใช้ทรัพยากรอย่ารู้ค่า เพื่อมอบอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกใบนี้