ในงานประกาศรางวัลดาวมิชลิน ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2566 ที่เพิ่งผ่านพ้นมานั้น หนึ่งในรางวัลที่หลายคนต่างก็ตั้งตารอลุ้นผลไม่แพ้รางวัลดาวมิชลินก็คือรางวัลพิเศษประจำปีอย่าง MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นรางวัลที่บรรดาเชฟรุ่นใหม่ทุกคนต่างก็ฝันอยากเป็นเจ้าของกันเลยทีเดียว เพราะเป็นบทพิสูจน์ความโดดเด่นให้แก่เชฟรุ่นเยาว์ผู้มีหัวใจรักในการทำอาหาร ซึ่งมีไฟฝันไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาตัวเอง และนำเสนอสิ่งใหม่ๆ มอบแก่วงการอาหาร ซึ่งตรงกับแก่นปรัชญาหลักของ “Blancpain” แบรนด์นาฬิกาสวิสชั้นนำที่สนับสนุนในเรื่องนวัตกรรม ทั้งยังให้คุณค่าแก่ผลงานอันน่าชื่นชมตลอดจนความสร้างสรรค์ที่โดดเด่นควรค่าแก่การฟูมฟักต่อยอดมาโดยตลอดอีกด้วย

ล่าสุดเมื่อผลผลประกาศออกมาว่าเชฟผู้คว้ารางวัลดังกล่าวประจำปีนี้คือ เชฟดาวิเด การาวาเกลีย (Davide Garavaglia) แห่งร้านอาหาร Côte by Mauro Colagreco ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาตอนที่ร้านเพิ่งเปิดนั้น เชฟดาวิเดเองก็คว้าดาว 1 ดวงมาประดับร้านได้สำเร็จแทบในทันที ด้วยฝีมือที่เก่งกาจและโดดเด่นจึงทำให้เชฟหนุ่มชาวอิตาเลียนกลายเป็นเชฟรุ่นเยาว์ที่ได้รับการจับตามองที่สุดคนหนึ่งของวงการ จนในที่สุดก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเชฟดาวิเดได้กล่าวถึงความรู้สึกเมื่อทราบผลให้เราฟังว่า
“แน่นอนอยู่แล้วว่ารางวัลนี้ย่อมทำให้ผมมีความสุขมาก มันแสดงให้เห็นว่าเราประสบความสำเร็จจากสิ่งที่ทุ่มเทลงไป แต่ผมก็คิดว่ารางวัลนี้ไม่ใช่ความสำเร็จของผมเพียงคนเดียว เพราะเบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวเราทำงานกันเป็นทีม และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยอยู่ข้างหลัง ที่คอยสนับสนุนผมอยู่ทุกวัน”
บางคนอาจจะฝันอยากเป็นเชฟตั้งแต่เด็กสมัยเข้าครัวกับคุณพ่อคุณแม่ตอนอายุได้เพียงไม่กี่ขวบ แต่สำหรับดาวิเดนั้นแตกต่างกันออกไป เชฟหนุ่มเจ้าของรางวัลเชฟรุ่นเยาว์ย้อนอดีตเล่าเส้นทางของตัวเองให้เราฟังว่า เขาเติบเติบโตในครอบครัวชาวอิตาเลียนธรรมดา ๆ และเรื่องความฝันอยากเป็นเชฟของตัวเองก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรแบบนั้น แต่โชคชะตาก็นำทางให้เขาค้นพบเป้าหมายในชีวิตในที่สุด
“ตอนที่ผมยังเด็ก อายุ 13 ปี และเรียนหนังสืออยู่ ก็ยังไม่?ชัดเจนหรอกว่าโตขึ้นแล้วอยากเป็นอะไร จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ผมเคยอยากไปเรียนการบินที่โรงเรียนเอกชน แต่ตอนนั้นไม่มีเงินมากพอ ผมและเพื่อนจึงคุยกันว่าทำไมเราไม่ลองไปเรียนที่โรงเรียนสอนการโรงแรมกันดูล่ะ และหลังจาก 1 ปีผ่านไปผมก็รู้สึกตกหลุมรักงานนี้ การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองมีสายสัมพันธ์กับการทำอาหาร การได้มีโอกาสเข้าครัวเรียนทำอาหารในแต่ละวันค่อยๆ ปลุกความทรงจำตอนยังเป็นเด็กของผมขึ้นมา ทำให้ผมจำตอนที่อยู่ในครัวกับคุณปู่สมัยยังเด็กได้ เหมือนกับว่าผมจำ ‘กลิ่น’ ในตอนนั้นได้ สมัยเด็กผมใช้เวลากับปู่ค่อนข้างเยอะ แล้วพอได้เรียน ได้ลงมือทำงานด้านนี้ 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่ละวันที่ค่อย ๆ ผ่านไปก็สร้างแรงปรารถนาขึ้นมาในตัวผม ทำให้ตัดสินใจที่จะมุ่งมั่นเอาดีทางด้านนี้ ผมคิดว่านั่นคือตอนที่ผมตกหลุมรักอาชีพนี้”

หลังเรียนจบชายหนุ่มมีโอกาสทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ร้านอาหารรางวัลสองดาวมิชลินนั่นคือร้าน D’O ของเชฟดาวิเด โอลดานี (Davide Oldani) ในมิลาน หลังจากนั้นจึงย้ายไปทำงานร้านซึ่งได้รางวัลสามดาวมิชลินอย่าง Sketch ในลอนดอน ของเชฟปีแยร์ กาแญร์ (Pierre Gagnaire) จนในปี 2015 เชฟดาวิเดก็ได้โคจรมาร่วมงานกับเชฟเมาโร โคลาเกรโค (Mauro Colagreco) ที่ร้าน Mirazur จนเมื่อเชฟเมาโรมีแผนทำร้าน Côte by Mauro Colagreco ที่กรุงเทพฯ เชฟมือขวาผู้ได้รับความไว้วางใจอย่างดาวิเดจึงได้รับมอบหมายให้มาดูแล เชฟหนุ่มชาวอิตาเลียนบอกกับเราว่าการที่ตัวเขาทำงานในสายงานเชฟโดยเฉพาะในร้านอาหารระดับชั้นนำเช่นนี้มาโดยตลอด ในบางแง่ก็เหมือนเป็นการต้องบรรลุและคงมาตรฐานระดับสูงของมิชลินให้ได้โดยปริยายเพื่อให้ได้รับการยอมรับ จากประสบการณ์และความสำเร็จทั้งหมดที่ได้รับ เราถามเขาว่ารู้สีกอย่างไรเมื่อมองย้อนกลับไปมองเส้นทางที่ผ่านมาจนมาถึง ณ จุด ที่ได้รับรางวัลเชฟรุ่นเยาว์อันทรงเกียรตินี้ และอะไรคือสิ่งสำคัญที่หล่อหลอมให้เขากลายมาเป็นเชฟผู้เก่งกาจได้อย่างทุกวันนี้
“ตอนนี้ผมอายุได้ 33 ปี แล้ว แต่บอกตามจริงเลยนะครับ ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ ‘เยาว์วัย’ อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ดีใจมากที่ผมได้รางวัลนี้มา เพราะมันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ผมเห็นถึงสิ่งที่เราได้ทุ่มเททำลงไป ไม่รู้สิผมก็แค่มีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และก็ดีใจที่สิ่งที่เราทุ่มเททำไปนำความสำเร็จกลับคืนมาให้”
“เป้าหมายหลังจากนี้ผมอยากจะมอบความสุขให้กับผู้คนให้ได้ในทุกวัน เพราะพวกเขาคือเหตุผลของสิ่งที่เราทำในฐานะเชฟ”
“สำหรับผมสิ่งที่จะทำให้เราเป็นเชฟที่ดีและเก่งได้คือต้องหมั่นฝึกฝนเรียนรู้ เพราะการฝึกฝนเท่านั้นที่จะสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในตัวของคนเราแต่ละคนให้ออกมาได้ การที่เราฝึกฝนก็เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงข้อผิดพลาด และเรียนรู้วิธีแก้ไขมัน เพื่อให้สามารถทำได้ดีขึ้นในทุกวัน ๆ อย่างตัวผมเองโชคดีที่เรามีเชฟที่มีประสบการณ์เคยสั่งสอน คอยชี้ทาง และปล่อยให้ผมได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดจนเป็นเชฟที่ดีขึ้นในทุกวัน ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามที่ว่าสิ่งที่ทำให้ใครสักคนเป็นเชฟที่ดีและเก่งกาจได้ก็คือการสอน การเรียนรู้ และหมั่นฝึกฝน ทำให้ดีขึ้นในทุกวัน”
“เป้าหมายหลังจากนี้ผมอยากจะมอบความสุขให้กับผู้คนให้ได้ในทุกวัน ผมหมายถึงมอบความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะพวกเขาคือเหตุผลหลักของทุกสิ่งที่เราทำในฐานะเชฟ แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องรวมถึงการสร้างสมดุลที่ดีให้กับทีมงานของเราด้วย เพราะผมเองก็อยากจะสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีภายในครัว ผมอยากจะสร้างบรรยากาศของการทำงานที่ทำให้ทีมงานของเราสามารถแลกเปลี่ยนสื่อสารกันได้อย่างสร้างสรรค์ ให้เราทุกคนสามารถเรียนรู้ไปด้วยกันได้ เพราะเราเองก็ต้องมีความสุขกันด้วยจึงจะสามารถส่งมอบความสุขความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ รวมถึงพัฒนาผลงานของเราให้ดียิ่งขึ้นต่อไปได้”
สำหรับคำแนะนำที่เชฟดาวิเดอยากจะฝากไว้สำหรับเชฟรุ่นใหม่ ที่อยากจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับตัวเขา เชฟหนุ่มย้ำแต่เพียงสั้น ๆ แต่เป็นจริงอย่างที่สุดว่า
“จงทำงานหนักและทำทุกวันให้ดีที่สุด”

สำหรับรางวัลที่มอบให้แก่เชฟรุ่นใหม่ผู้มีไฟฝันและน่าจับตามองนี้ สนับสนุนโดย “Blancpain” แบรนด์นาฬิกาเก่าแก่ที่สุดในโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาได้บ่มเพาะสายสัมพันธ์พิเศษอันแนบแน่นกับ โลกของอาหารชั้นสูงหรือ “Haute Cuisine” ร่วมกับเชฟชั้นนำมือรางวัลระดับโลกมายาวนานถึงกว่า 30 ปี
ทั้งนี้ “ความต่อเนื่องของนวัตกรรม” นั้นถือเป็นแก่นค่านิยมหลักอันเป็นธรรมเนียมสืบทอดของแบรนด์ Blancpain มาโดยตลอด คุณภาพของนาฬิกาสวิสแบรนด์นี้วางอยู่บนฐานของความรักความหลงใหล การปรับเปลี่ยนที่แม่นยำควบคู่ไปกับการผสมผสานความเป็นของแท้และดั้งเดิม รวมไปถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จนสามารถกล่าวได้ว่า “ช่างทำนาฬิกาและเชฟมือฉมังต่างก็มีความคล้ายคลึงกันตรงที่ต้องแสดงทักษะความสามารถอันน่าทึ่งในการคิดค้น รวมทั้งท้าทายขอบเขตของศาสตร์และศิลป์ในแขนงของตนเองอย่างไม่ลดละเพื่อสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอก ด้วยเชื่อมั่นว่าจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมคือกุญแจสู่ความสำเร็จ”
ที่ผ่านมา Blancpain ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในการยืนหยัดเคียงข้างเป็นผู้จับเวลาให้กับการแข่งขันทำอาหารซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางเท่านั้น ทว่ายังรายล้อมไปด้วยมิตรสหายที่ผูกพันกันทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงบรรดาเชฟยอดฝีมือจากร้านอาหารระดับรางวัลที่ครอบครองดาวมิชลินรวมกันกว่าร้อยดวง
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน “Blancpain” กับ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ร่วมกันเป็นพันธมิตรระดับโลก ส่งเสริมและสนับสนุนมาตรฐานความเป็นเลิศ ความหลงใหล และความเชี่ยวชาญรวมถึงปรัชญาที่มีร่วมกัน เช่นเดียวกับรางวัล MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ที่ทางแบรนด์ได้ผนึกกำลังกับคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ เสาะแสวงหาเชฟอนาคตไกลผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในแวดวงอาหารระดับนานาชาติ โดยรางวัลดังกล่าวมีความโดดเด่นตรงที่เป็นรางวัลซึ่งมอบให้แก่เชฟรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 36 ปีผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ รวมถึงได้รับการยกย่องในความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถรังสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าจดจำตรึงตรา
รางวัล MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์นาฬิกาสวิสคุณภาพเยี่ยมอันเก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวแบรนด์นี้จึงถือเป็นเครื่องยืนยันความสำคัญที่มอบให้แก่เหล่าเชฟผู้กล้ารุ่นใหม่ ที่แผ้วถางแนวทางการสร้างสรรค์ด้วยการคิดนอกกรอบจนสามารถสร้างความแตกต่างให้แก่วงการอาหารระดับสูง ดังนั้นแทนที่จะเป็นเพียงรางวัลธรรมดาที่มอบให้แก่คนรุ่นใหม่ นี่จึงเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าที่ปรารถนาจะส่งเสริมวงการอาหารของประเทศไทย โดยจูงใจให้เชฟรุ่นใหม่ที่มีอนาคตท้าทายก้าวข้ามขีดจำกัดของตน เพื่อรังสรรค์อาหารชั้นเลิศไม่ว่าจะในระดับประเทศหรือระดับโลก
ภาพเปิดและภาพในบทความ: © MICHELIN Guide Thailand, Blancpain
