เพลง “The Power of Love” ของเซลีน ดิออน (Celine Dion) และ “I’ll Make Love to You” ของบอยซ์ ทู เมน (Boyz II Men) กำลังไต่อันดับบนชาร์ตบิลบอร์ด เมื่อทายาทของอาณาจักรสื่อในประเทศไทยเริ่มก้าวเข้ามาเป็นจุดสนใจครั้งแรกในปี 2537 ยุคที่นิตยสารต่างจัดประกวดนายแบบนางแบบกันพัลวัน ชายชื่อ ดอม เหตระกูล สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ในฐานะลูกหลานไฮโซของเมืองไทย แต่ยังเป็นนักแสดงที่โด่งดังในแวดวงละครโทรทัศน์ ในยุคที่ผู้คนยังกล้าฝันถึงความรักอย่างไม่เคอะเขิน
หมุนเวลาสู่ปัจจุบัน เขากลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งใน The White Lotus ซีซัน 3 กับบท “พรชัย” ผู้จัดการสปาปากหวาน ถึงแม้บทบาทนี้จะดูเรียบง่าย แต่ความอบอุ่นของเขากลับสามารถเคาะประตูหัวใจของเบลินดา (Belinda) รับบทโดย นาตาชา ร็อธเวลล์ (Natasha Rothwell) และผู้ชมไปพร้อมกัน
กว่า 30 ปีในวงการ ดอมมักได้รับบทชายหนุ่มหล่อ กล้ามแน่น กล้าบู๊แบบชายไทย แต่ในซีรีส์นี้ เขาเผยให้เห็นอีกด้าน ความอ่อนโยน อบอุ่น และสุภาพ ที่ผู้ชมชาวไทยอาจไม่ได้เห็นมานาน
“The White Lotus เหมือนบ่อบัวที่เงียบสงบ แต่ถึงแม้ภายนอกจะดูนิ่งและสวยงาม ทว่าลึก ๆ แล้วกลับขุ่นมัว ทุกคนพยายามทำตัวเองให้ดูเพอร์เฟ็กต์ แต่ความจริงแล้ว พวกเขากำลังเผชิญกับบางสิ่ง ถ้ามีใครไปกวนน้ำ มันก็จะขุ่นขึ้นมา ทุกคนจึงพยายามรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดีในโลกภาพลวงตาระดับห้าดาว นี่แหละ The White Lotus ซีซัน 3 ในมุมมองของผม” เขาบอกกับเรา
.jpg)
อย่าให้สำเนียงอังกฤษของคุณพ่อลูกหนึ่งและลูกชายคนโตของประชา เหตระกูล แห่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หลอกคุณ เพราะนักแสดงไทยวัย 47 ปีคนนี้เกิดและเติบโตในกรงเทพฯ มาทั้งชีวิต และมักขี่บิ๊กไบค์สำรวจเมืองอยู่บ่อย ๆ อีกด้วย
“กรุงเทพฯ สอนให้ผมรู้จักปรับตัว” ดอมบอก “ลองดูตลาดน้อยสิ เมื่อก่อนไม่มีใครพูดถึงย่านนี้เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่ที่สวยงามและคึกคัก หรือการจราจรในกรุงเทพฯ ขึ้นชื่อเรื่องรถติด แต่ตอนนี้เรามีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน นี่เป็นเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
เขาบอกอีกว่า “สำหรับผม กรุงเทพฯ มีทุกอย่าง และมันไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยหลับไหล มันเป็นแบบนี้มาเนิ่นนานและจะเป็นแบบนี้ตลอดไป” ดอมพูดต่อ “แน่นอนว่ากรุงเทพฯ ก็มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง มีทั้งช่วงเวลาแห่งความสงบสุขและความวุ่นวาย แต่ผมเป็นคนกรุงเทพฯ และผมไม่เคยคิดที่จะจากไปไหน แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เมืองที่ดีที่สุดในโลก แต่มันเป็นสถานที่ที่ผมรู้สึกสบายใจที่สุด ผมไม่ได้เป็นคนโด่งดัง แต่ผมพอเป็นที่รู้จักในบ้านผม ผมอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบ 50 ปี และผมไม่เคยอยากย้ายไปอยู่ที่อื่นเลย และผมไม่เคยคิดถึงบ้านด้ว เพราะผมรู้ว่าผมจะกลับมาเสมอ ที่นี่คือสวนหลังบ้านของผม มันเป็นบ้านของผม”
และบางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกตั้งรกรากอยู่ในกรุงเทพฯ แทนที่จะไปไล่ตามความฝันระดับฮอลลีวูด “กรุงเทพฯ ไม่ได้ใจร้าย เว้นแต่คุณจะออกไปหาเรื่องใส่ตัวเอง ก้มหน้าก้มตาทำงานไว้ แล้วเมืองนี้จะดูแลคุณเอง”
แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้ ดอม เหตระกูล หลงรักกรุงเทพฯ? เด็กเทพคนนี้มาแบ่งปันสถานที่โปรดของเขา ไม่ว่าจะเป็นซอยลับ หรือบาร์แจ๊ส ไปจนถึงสปา และย่านเหมาะขี่จักรยานยนต์ชมวิวที่มัดใจเขาจนไม่อยากย้ายไปไหน

พิกัดย่านโปรด: สุขุมวิท
“บ้านครอบครัวผมอยู่ในซอยสุขุมวิท 21 แต่ผมอยู่คอนโดในซอยสุขุมวิท 18 เพราะดูแลรักษาง่ายกว่า ย่านนี้เป็นย่านที่สะดวกสบาย ผมสามารถเดินออกไปหาอะไรกินที่ EmSphere หรือ EmQuartier ก็ได้ มันเป็นย่านที่ทั้งสงบและวุ่นวายผสมกัน แต่ก็มีทุกอย่างให้เลือก”สุขุมวิทคึกคักอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าถนนสายนี้จะยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร แต่นักท่องเที่ยวมักนิยมเดินทางมาเยี่ยมชมความมีชีวิตชีวาระหว่างย่านนานาและย่านพระโขนง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไทยแห่งแรกของโลกที่ได้รับรางวัลสามดาวมิชลินอย่าง ศรณ์ ไปจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรืองที่ได้รับความนิยมตลอดกาลและได้รับรางวัลบิบ กูร์มองด์ หรือโรงแรม 137 Pillars Suites Bangkok ที่ได้รับรางวัลกุญแจมิชลินก็อยู่ในย่านนี้เช่นกัน สุขุมวิทจึงเป็นย่านที่มีทุกสิ่งอัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารชั้นนำ บาร์ ร้านค้า และมีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นเสมอ
- ศรณ์: 56 ซ.สุขุมวิท 26 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย
- ก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรือง: 10/3 ซ.สุขุมวิท 26 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย
- 137 พิลลาร์ สวีท กรุงเทพ: 59/1 สุขุมวิทซอย 39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา
พิกัดสปาโปรด (ของพรชัย): นวดไทย และนวดน้ำมันหอมระเหย
“ผมชอบนวดน้ำมัน เพราะมีกลิ่นหอมได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และช่วยระบบหมุนเวียนเลือดด้วย สำหรับผมการนวดแผนไทยโบราณอาจทำให้รู้สึกเจ็บ และการนวดน้ำมันก็ลื่นเกินไป การนวดสองแบบนี้จึงเหมาะกับผมที่สุด ผมนวดสัปดาห์ละครั้งให้ร่างกายผ่อนคลายหลังจากออกกำลังกายหนัก ๆ การฟื้นฟูร่างกายมีความสำคัญพอ ๆ กับการออกกำลัง เช่นเดียวกับการพักผ่อนและโภชนาการ”ตามแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทมีสปาอยู่หลายแห่ง แตกต่างกันไปตามราคา ลองแวะไปที่ Nitra Serenity Centre ในโรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ซึ่งเป็นโรงแรมที่ได้รับรางวัลกุญแจมิชลินในปี 2567 ก็ได้ เพราะนอกจากการทำสปาแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์สุขภาพแบบองค์รวมที่สร้างขึ้นโดยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร รวมถึงด้านอารมณ์และจิตใจ การฟื้นฟู การพัฒนา และการเข้าสังคม โดยเฉพาะโปรแกรมที่ช่วยเรื่องการนอนหลับ
59/1 สุขุมวิทซอย 39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา

พิกัดเดินเล่นชมวัฒนธรรม: ตลาดน้อย
“ผมเคยพาภรรยาไปเที่ยวตลาดน้อย เพราะเขาไม่เคยไปมาก่อน เป็นย่านที่มีเสน่ห์มาก ลองนึกถึงร้านค้าของคนไทย-จีน ร้านขายโลหะเก่า ๆ และวิถีชีวิตที่ยึดมั่นในงานฝีมือ เดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอสำเพ็งกับเยาวราช ถ้าใครอยากไปเดินเล่นสบาย ๆ ให้ไปประมาณบ่าย 2-3 โมง แต่ถ้าเป็นช่วงแดดเริ่มอ่อน ๆ ประมาณ 4-5 โมงจะดีที่สุด หรือไปล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงบ่ายแก่ ๆ แล้วค่อยไปเดินเล่นตลาดน้อยช่วงค่ำก็เหมาะมาก หาอะไรกิน สำรวจย่านสักหน่อย แล้วค่อยไปจบที่เยาวราช”ตลาดน้อยเป็นชุมชนชาวจีนที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และเมื่อไม่นานนี้ ย่านแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นย่านยอดนิยมเนื่องจากมีร้านกาแฟสุดฮิปและแกลเลอรีศิลปะสมัยใหม่เปิดอยู่มากมาย ถ้าหากคุณลองเดินไปตามตรอกซอกซอยที่ราวกับเขาวงกตก็จะได้พบตึกเก่าทางประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่ด้วย เช่น คฤหาสน์โซเฮงไถ่ที่มีอายุกว่า 200 ปี ศาลเจ้าโรงเกือกอันศักดิ์สิทธิ์ และอาสนวิหารอัสสัมชัญของนิกายโรมันคาทอลิก ตลาดน้อยเติบโตขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายตัวของการค้าขายในย่านสำเพ็งในช่วงต้นของยุครัตนโกสินทร์ ปัจจุบันตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรมไทย-จีนที่ผสมผสานกันอย่างน่าสนใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านบ้านเรือนเก่าแก่ วิถีชีวิตท้องถิ่น ร้านอาหารที่มีชีวิตชีวา และตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยสตรีตอาร์ต
ซอยวานิช 2 และซอยเจริญกรุง 22 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์

พิกัดเปิดสำหรับประสบการณ์ไม่เหมือนใคร (เหมือนริกและแฟรงค์ ใน The White Lotus): ซอยคาวบอย
“สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ ซอยคาวเป็นตรอกเล็ก ๆ ที่ใช้เดินทะลุซอย 23 มันเหมือนถนนในหนังคาวบอยสมัยก่อนมากกว่า บาร์ก็ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังยุคเก่า และผู้คนก็ไม่พลุกพล่านเหมือนย่านพร้อมพงษ์หรือธนิยะในปัจจุบันที่ให้ความรู้สึกเหมือนย่านคนญี่ปุ่น พัฒน์พงศ์ก็เป็นที่รู้จักกันในเรื่องบาร์อะโกโก้หรือคลับเปลื้องผ้า แต่ผมว่าซอยคาวบอยให้ความรู้สึกต่างออกไป เป็นเหมือนย่านที่ชาวอเมริกันที่อาศัยต่างแดนมาเปิดร้านเหล้าของตัวเอง ผมจำได้ว่าผมชอบเดินไปซอยสุขุมวิท 23 ไปซื้อหนังสือการ์ตูนในชุดนักเรียน เป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกมาก ตอนนี้ซอยคาวบอยก็ยังคึกคัก บาร์ต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนมากเท่าไหร่ ถนนก็ยังขนาดเท่าเดิม แต่คนแน่นสุด ๆ”ซอยคาวบอยเป็นย่านสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีบาร์ราว ๆ 40 แห่งที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่มองหาประสบการณ์ที่หาไม่ได้ที่ไหน แต่ถ้าคุณมองหามื้อดี ๆ สักมื้อหลังชมการแสดง เราแนะให้เดินทะลุด้านหลังไปซอยสุขุมวิท 23 แล้วจะพบกับร้าน The Local ร้านอาหารไทยที่ได้รับการแนะนำโดย ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับปี 2568 โดยร้านตั้งอยู่ในบ้านสไตล์โคโลเนียลอันมีเสน่ห์ พร้อมเสิร์ฟอาหารประจำถิ่นให้ชิมตามสูตรลับที่ส่งต่อกันในครอบครัวท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปเสน่ห์แบบยุคโบราณ
- The Local: 32 ซ.สุขุมวิท 23 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
- ซอยคาวบอย: ระหว่างซอยสุขุมวิท 23 และถนนอโศก แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา

พิกัดสำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์: พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน
“บ้านจิม ทอมป์สันในซอยเล็ก ๆ ตรงถนนพระราม 1 ตรงนั้นยังมีเป็นบ้านเก่าริมคลองที่น่าทึ่งมาก ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ทั้งที่ปัจจุบันบ้านหลังนี้อายุกว่าร้อยปีแล้ว ไปแล้วสามารถเดินออกไปช้อปปิ้งต่อที่สยามพารากอนได้”บ้านจิม ทอมป์สัน ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ที่ร่มรื่นฝั่งตรงข้ามกับศูนย์การค้ามาบุญครอง บ้านหลังนี้เปรียบเสมือนอัญมณีที่ซ่อนอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นบ้านไม้สักที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม โดยที่แห่งนี้เคยเป็นบ้านของจิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) บุคคลในตำนานที่ได้รับชื่อให้เป็น “ราชาแห่งผ้าไหมไทย” ก่อนกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของสะสมโดยจิม ทอมป์สัน อีกทั้งบ้านไม้สักแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2502 และเป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกสงบชวนนึกถึงกรุงเทพฯ ในอดีต ถึงแม้ตอนนี้จะมีแหล่งช้อปปิ้งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่หากคุณอยากสัมผัสความเป็นท้องถิ่นอย่างแท้จริง ให้จองโต๊ะที่ห้องอาหาร TAAN ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยที่ได้รับการแนะนำโดยมิชลิน ที่นี่นำเสนอรสชาติร่วมสมัยในขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยแท้ ๆ เอาไว้ โดยเชฟจะรังสรรค์เมนูเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วยการใช้วัตถุดิบไทย
- พิพิธภัณฑ์บ้าน จิม ทอมป์สัน: 6 ซอยเกษมสันต์ 2 ถ.พระราม 1 เขตปทุมวัน
- เอ็มบีเค เซ็นเตอร์: 444 ถ.พญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน
- TAAN: ชั้น 25 สยาม แอ็ท สยาม ดีไซน์ โฮเต็ล 865 ถ.พระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน

พิกัดจิบสักแก้วสองแก้ว: ทองหล่อ และ Studio Lam
“ทองหล่อมีที่แฮงก์เอาต์เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นบาร์ลับ บาร์ค็อกเทลสไตล์โอมากาเสะที่คุณสามารถบอกบาร์เทนเดอร์ว่าชอบอะไร จริง ๆ ซอย 11 มีบาร์เยอะ แต่ผมว่าทองหล่อมีความไทยกว่า คนรุ่นใหม่อาจจะชอบไปเที่ยวเอกมัย ส่วนผมค่อนข้างชอบ Studio Lam เขาเปิดแผ่นตามดีเจในแต่ละวัน เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มีอะไรใหม่ ๆ ให้ฟังอยู่ตลอด”ทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) เป็นย่านที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืนที่มีฐานะดีและกลุ่มวัยรุ่นในเมือง ใกล้ ๆ กันในซอยสุขุมวิท 51 คุณจะพบกับ Studio Lam ซึ่งเป็นบาร์ที่รู้จักกันแบบเฉพาะกลุ่ม แต่ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องค็อกเทลชั้นยอด รวมถึงยาดอง และมั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้ฟังดนตรีตั้งแต่แนวแอฟโฟรเฮาส์และดนตรีทิเบต ไปจนถึงหมดลำฟังก์สไตล์ไทย ที่นี่จึงเป็นสวรรค์สำหรับคนรักเสียงดนตรีที่ชอบฟังเพลงแนวแปลกใหม่
- Studio Lam: 3/1 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา
- ทองหล่อ: ซอยสุขุมวิท 55 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา

พิกัดขี่รถชมวิว: ย่านพระบรมมหาราชวัง
“กรุงเทพฯ มีเสน่ห์เฉพาะตัว เสน่ห์คงอยู่ตรงหลุมบ่อมั้ง เยอะเหลือเกินครับ [หัวเราะ] แต่ถ้าพูดถึงถนนสวย ๆ ก็คงไม่พ้นถนนเลียบวัง ยิ่งตกเย็นหรือตอนกลางคืน อากาศดี ไปดูไฟสวย ๆ ได้ อาจจะไม่มีอะไรให้แวะมากนัก เพราะไม่มีร้านค้าเปิด ไม่มีของกินให้ซื้อ ดังนั้นการขี่มอเตอร์ไซค์จึงได้อยู่กับตัวเอง แต่ถ้าคุณหิวขึ้นมาก็ให้ขับไปที่พระราม 4 มีของกินให้เลือกเยอะ”คุณอาจจะรู้จักกรุงเทพฯ ในฐานะมหานครแห่งความทันสมัย แต่ความเป็นมาของกรุงเทพฯ นั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานไล่ไปตามเส้นทางสายรัตนโกสินทร์อันเก่าแก่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเมืองแห่งนี้เมื่อกว่า 240 ปีที่แล้ว เริ่มตั้งแต่พระบรมมหาราชวังยาวไปจนถึงถนนราชดำเนิน พื้นที่แห่งนี้รุ่มรวมไปด้วยมรดก วัฒนธรรม และอาหารริมทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนหรือฤดูเทศกาลที่แสงไฟและการตกแต่งแปลงโฉมเมืองเก่าให้เต็มไปด้วยเสน่ห์ของความแตกต่างระหว่างความเก่าแก่และความทันสมัย นี่คือเสน่ห์ที่แท้จริงของกรุงเทพฯ
พระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
พิกัดที่เต็มไปด้วยความทรงจำ: แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
“ถ้าประทับใจสุดก็แน่นอนก็ต้องเป็นแมนดาริน โอเรียนเต็ล เขาเก็บรักษามรดกของตนเองเอาไว้ได้ดี โรงแรมนี้ไม่ได้เป็นตึกรามใหญ่โต แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจนมาก ที่สำคัญที่สุดคือผมแต่งงานที่นั่น ที่นี่เลยโรงแรมในความทรงจําของผู้ใหญ่จนมาถึงรุ่นผมในปัจจุบันด้วย และคุณแค่ขึ้นเรือก็ไปช้อปปิ้งได้ หรือจะพักสบาย ๆ ก็ได้ พนักงานที่นี่บริการดีมาก ผมว่าคนไทยมีทัศนคติในการให้บริการที่ดีโดยธรรมชาติ ทุกคนเป็นมิตร ทักทายสวัสดีค่ะ สวัสดีครับ มันดูเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกเคอะเขิน”โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ได้รับรางวัลกุญแจมิชลิน 3 ดอก ประจำปี 2567 อีกทั้งยังคงเป็นหนึ่งในโรงแรมชั้นนำมาเป็นเวลา 150 ปี โดยปีกอาคารสไตล์ยุควิกตอเรียเดิมเคยเป็นที่พักของนักวรรณกรรมในตำนานอย่าง คอนราด (Conrad) กรีน (Greene) และมอห์ม (Maugham) ตามมาด้วยบุคคลสำคัญอย่างเกรซ เคลลี (Grace Kelly) และอลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Elizabeth Taylor) หรือคนล่าสุด ไมค์ ไวท์ (Mike White) ผู้สร้างสรรค์ผลงานซีรีส์เรื่อง The White Lotus ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่แห่งนี้ด้วย โดยเมื่อเขามาถึงที่นี่ เขาพูดว่า “ผมถึงบ้านแล้ว” แถมยังชมด้วยว่า “การเดินทางไปฟิตเนสของโรงแรมนี้น่าทึ่งที่สุดแล้ว” นอกจากนี้ นี่ยังเป็นหนึ่งในโรงแรมห้าดาวแรกของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในเครือแมนดาริน โอเรียนเต็ลด้วย อีกทั้งยังเป็นโรงแรมเดียวในกรุงเทพฯ ที่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ดังของเขา
48 โอเรียนเต็ล อเวนิว บางรัก

พิกัดฟังดนตรีสดระดับตำนาน: The Rock Pub, The Bamboo Bar, Saxophone, Brown Sugar
“ส่วนตัวแล้วผมชอบดนตรีสด แนวร็อคและเมทัลก็ฟัง เคยไป The Rock Pub ซึ่งปัจจุบันย้ายไปสนามเป้า นักดนตรีบางคนอายุ 60-70 ปีแล้ว ผมฟังพวกเขาเล่นมาตั้งแต่สมัยเรียน ตอนนี้พี่ ๆ เขาจำผมได้ในฐานะนักแสดง และผมก็มองพวกเขาเป็นศิลปินรุ่นพี่ พวกเราเคารพซึ่งกันและกัน ผมไม่เคยเล่นเครื่องดนตรี แต่ผมชอบดนตรีมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าคนชอบแจ๊ส Saxophone ถือว่าเป็นสถานที่คลาสสิก เปิดมานานกว่า 30 ปี แม้จะไม่ได้หวือหวา แต่นักดนตรีที่นี่เล่นได้ดีมาก และคนไปร้านนั้นเพื่อฟังดนตรี หรืออย่าง Brown Sugar และ The Bamboo Bar ก็ได้เหมือนกัน”แม้แสงสียามค่ำคืนของกรุงเทพฯ อาจแย่งซีนดนตรีไปสักหน่อย ทว่ากรุงเทพฯ ก็มีดนตรีสดให้ฟังไม่แพ้ใคร The Rock Pub คือบาร์ดนตรีสดแนวร็อกที่เปิดแสดงมาหลายทศวรรษในบรรยากาศเป็นกันเอง ส่วนใครที่ชื่นชอบดนตรีแจ๊ส The Bamboo Bar ที่แมนดาริน โอเรียนเต็ลฯ ก็ถือเป็นสถานที่แสดงดนตรีแจ๊สที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เปิดมาตั้งแต่ปี 2496 และถ้าคุณเป็นแฟนตัวจริงของซีรีส์เรื่องนี้ คงจำกันได้ว่านี่แหละคือสถานที่ที่ ริค (Rick) รับบทโดย วอลตัน กอกกินส์ (Walton Goggins) และแฟรงก์ (Frank) รับบทโดย แซม ร็อคเวลล์ (Sam Rockwell) มานั่งจิบชาดอกคาโมมายล์ พร้อมบทสนทนาที่ทำให้ผู้ชมอ้าปากค้าง Saxophone ซึ่งตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยังคงเป็นสถาบันดนตรีสดที่ได้รับความนิยมจากทั้งศิลปินรุ่นเก๋าและศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ในขณะที่ Brown Sugar ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2528 ยังคงเป็นหมุดหมายสำหรับฟังดนตรีแจ๊สและบลูส์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งบ่มเพาะนักดนตรีไทยรุ่นใหม่ที่มากพรสวรรค์อีกด้วย
- The Rock Pub: 1011/3-4 ถ.พหลโยธิน เขตพญาไท
- Saxophone: 3, 8 ซอยราชวิถี 11 ถ.พญาไท เขตราชเทวี
- Brown Sugar: 18 ซอยนานา แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
- The Bamboo Bar: 48 โอเรียนเต็ล อเวนิว เขตบางรัก
