แน่นอนว่า ใครที่เป็นแฟนตัวยงของ The White Lotus ย่อมทราบกันดีว่านี่คือซีรีส์เสียดสีสุดบันเทิงจาก HBO (ในประเทศไทยสามารถรับชมผ่าน MAX) ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการพักผ่อนในเชนรีสอร์ทหรู ที่นอกจากจะสะท้อนภาพของความมั่งคั่งและชนชั้นแล้ว ยังแฝงไปด้วยความจิกกัดประชดประชัน แต่ละซีซั่นของซีรีส์นี้มีฉากหลังเป็นรีสอร์ทหรูระดับท็อป ซึ่งแน่นอนว่าล้วนติดอยู่ในลิสต์ของ มิชลิน ไกด์ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Four Seasons Resort Maui ในฮาวาย เจ้าของรางวัลกุญแจมิชลิน 1 ดอก, San Domenico Palace ในซิซิลี ที่ได้รับรางวัลกุญแจมิชลิน 2 ดอก ไปจนถึง Four Seasons Koh Samui ในประเทศไทย ซึ่งเป็นฉากหลังของภาคล่าสุด (ซีซัน 3) ของซีรีส์ยอดฮิตนี้
ด้วยฉากหลังของเรื่องราวที่มีทั้งสระว่ายน้ำไร้ขอบสุดบรรเจิด วิวทะเลริมชายหาดทรายอันงดงาม พรั่งพร้อมด้วยเมนูสปาสุดผ่อนคลาย ฯลฯ แน่นอนว่า ในฐานะผู้ตรวจสอบของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ เราจึงเป็นแฟนตัวยงของซีรีส์นี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของ The White Lotus ในแต่ละซีซันไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การพักสุดหรู หากแต่แท้จริงแล้วกลับซับซ้อนและลึกซึ้งกว่านั้น เนื่องจากบรรดาตัวละครแขกผู้เข้าพักได้กลายเป็นผู้เข้าร่วมในเรื่องราวอันเข้มข้นที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางจิตวิทยาโดยไม่ทันตั้งตัว
รีสอร์ทในจินตนาการแห่งนี้ดึงดูดทั้งแขกและพนักงานให้โลดแล่นไปกับบทบาทที่สมจริงราวกับสารคดีอาชญากรรมก็ไม่ปาน แทนที่การเข้าพักในรีสอร์ทสุดหรูแต่ละซีซันจะเป็นฝันหวานอันแสนอิ่มเอม แต่กลับพ่วงมาด้วยฝันร้ายที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเบื้องลึก อื้อฉาว และฆาตกรรมอันน่าพรั่นพรึง ที่มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว ในฐานะผู้ตรวจสอบของมิชลิน เรามองว่าโรงแรม White Lotus นั้นมีปัญหาเด่น ๆ ที่ไม่มีวันผ่านเกณฑ์ของ ‘มิชลิน ไกด์’ ดังต่อไปนี้
ที่นี่มีคู่มือต้อนรับให้กับพนักงานหรือเปล่านะ?
ว่ากันตามตรง ปัญหาความไม่สมจริงเริ่มตั้งแต่ต้นเรื่อง แบรนด์โรงแรมระดับโลกอย่างโฟร์ซีซั่นส์ได้รับการยกย่องเรื่องมาตรฐานการบริการชั้นเลิศ ทั้งยังลงทุนฝึกอบรมพนักงานอย่างเข้มงวด บางแห่งถึงกับตั้งสถาบันเฉพาะทางด้านการต้อนรับ แต่ในโรงแรมบัวขาวอย่าง White Lotus ดูเหมือนว่าการฝึกอบรมพนักงานใหม่จะไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน เพราะให้พนักงานใหม่เริ่มงานทันทีโดยไม่มีการฝึกอบรมก่อน เรียกว่าจับพนักงานใหม่ขึ้นเขียง ขังไว้ในห้องมืด แล้วบังคับให้ลืมตาดูความทรมานต่อหน้าก็ว่าได้
ผลลัพธ์คือพนักงานโรงแรมแทนที่จะปฏิบัติงานด้วยใจบริการที่เป็นมิตร และเข้าอกเข้าใจแขกอย่างที่โรงแรมระดับนี้ควรจะเป็น กลับทำงานแบบขอไปทีอย่างในภาคแรกที่มีปัญหาเรื่องห้องสวีทไม่ตรงปก พนักงานกลับพูดกับแขกด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นดูแคลน เช่นเดียวกับในภาคที่สองที่มีการเปรียบเทียบแขกว่าเป็นตัวการ์ตูน Peppa Pig ยิ่งไปกว่านั้น ในฉากที่พนักงานคนหนึ่งพูดว่า "แค่ต้องทนดูแขกกินอาหารก็รู้สึกอยากควักลูกตาตัวเองออก" จะว่าเราเรื่องมากก็ได้ แต่เราชอบโรงแรมที่พนักงานไม่มองแขกในแง่ลบ และไม่เวิ่นเว้อเพ้อฝันประชดประชันทำนองนี้มากกว่า
ขาดประสบการณ์และความรู้ด้านวัฒนธรรม และความกระตือรือร้นที่จะสนองความต้องการแขก
ถัดมาคือปัญหาเรื่องประสบการณ์เข้าพัก (guest experience) หนึ่งในปัจจัยหลักของกระบวนการคัดสรรโรงแรมรางวัลกุญแจของมิชลินคือคำถามสำคัญที่ว่า โรงแรมนั้นเปิดโอกาสให้แขกได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือไม่ ทว่าที่ White Lotus Maui เราเฝ้าดูด้วยความขัดใจจนถึงขั้นสยดสยองเมื่อพบว่าในขณะที่คู่พ่อลูกต้องการสัมผัสกับความงามตามธรรมชาติของเกาะ พวกเขากลับถูกผู้จัดการรีสอร์ทขัดขวางอยู่เสมอ แขกผู้มาเยือนปรารถนาจะซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่การบริการของโรงแรมกลับตอบสนองได้เพียงแค่ชั้นเรียนดำน้ำลึก ในสระว่ายน้ำของโรงแรม โดยปราศจากความกระตือรือร้นที่จะมอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรมแบบฮาวายท้องถิ่นให้กับผู้มาเยือน ถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังสำหรับโรงแรมที่อ้างตัวว่าเป็นโรงแรมหรูชั้นนำหากผู้เข้าพักได้รับความช่วยเหลือแม้เพียงเล็กน้อยจากเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก (Concierge) ซึ่งจากที่เราคาดเดาและสรุปได้ เราว่าพวกเขาไม่น่าจะเป็นสมาชิกของสมาคม Clés d’Or หรือองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านงานบริการด้านนี้ มิเช่นนั้นแขกของโรงแรมก็อาจไม่ต้องฝืนทนใช้เวลาทั้งวันไปกับการชมวิวกระเบื้องก้นสระว่ายน้ำ (ทั้ง ๆ ที่ Four Seasons Resort Maui ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำซีซัน 2 ของ The White Lotus นั้นมีทุกอย่างที่แขกมองหา ตั้งแต่โปรแกรมเดินป่าพร้อมไกด์ไปจนถึงกิจกรรมชมปลาวาฬ)

ห้องอาหารเลิศรส หรือแหล่งซ่อมสุมอาชญากรรมกันแน่?
ต่อมาเป็นเรื่องร้านอาหารที่เราซีเรียสเป็นพิเศษ ในแต่ละโรงแรม White Lotus มักมีร้านอาหารเพียงแห่งเดียว ซึ่งยิ่งทำให้แต่ละมื้อเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความวิตกกังวล เราถึงได้เห็นการปะทะกันของตัวละครที่เก็บกด ขมขื่น หรือเป็นศัตรูกัน รวมถึงบรรดานักต้มตุ๋น จนดูราวกับว่าโรงแรม White Lotus เป็นศูนย์รวมของผู้คนประเภทนี้ก็ว่าได้! แน่นอนว่าบรรยากาศเช่นนี้แตกต่างจากที่พักระดับหรูอย่าง San Domenico Palace ในซิซิลี ที่มีตัวเลือกการรับประทานอาหารหลากหลายให้แขกได้สำรวจตามความพึงพอใจ ห้องอาหารของโรงแรม White Lotus ซึ่งแต่ละซีซันดูเหมือนจะมีเพียงแห่งเดียว จึงทำหน้าที่ไม่ต่างจากสมรภูมิแห่งแผนการอันซับซ้อน เต็มไปด้วยการหักหลัง ไปจนถึงแผนฆาตกรรม เมื่อจำนวนอาชญากรในห้องอาหารมีมากกว่าจำนวนเมนูอาหารจานหลัก เราจึงอดนึกกังวลแทนแขกของโรงแรมเป็นไม่ได้
อะไรจะเกิดขึ้นในโรงแรม White Lotus ประเทศไทย?
แทนที่จะเพิกเฉยกับแบรนด์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าเรายังคงประเมินโรงแรมเป็นรายเฉพาะแต่ละแห่ง ด้วยเหตุนี้เราจึงยังคงเปิดใจกว้างในขณะที่ตรวจสอบโรงแรมบัวขาวที่สมมติขึ้นแห่งล่าสุดนี้ในประเทศไทย
ดังเช่นที่ผ่านมา เรายังคาดหวังว่าในภาคล่าสุดนี้ผู้ชมจะได้พบกับรีสอร์ทงดงามแสนตระการตา ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมอันมีทัศนียภาพสวยงามที่สุดในโลก เช่นเดียวกับรีสอร์ทของ The White Lotus ในซีซันก่อน ๆ
ภาพเปิด: © HBO