โรงแรมทั้ง 5 แห่งด้านล่างนี้คือที่พักที่ผู้ตรวจสอบของเราเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลที่พักที่มอบประสบการณ์ท้องถิ่นยอดเยี่ยม (Local Gateway Award) ครั้งปฐมฤกษ์ โดยผู้ชนะจะได้รับการเปิดเผยพร้อมกับรางวัลกุญแจมิชลินทั่วโลกในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568 นี้
หลังจากประกาศสองรางวัลแรกด้านที่พักด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบยอดเยี่ยม (Architecture & Design Award) และด้านสุขภาพและการผ่อนคลายยอดเยี่ยม (Wellness Award) ไปแล้ว รางวัลที่พักที่มอบประสบการณ์ท้องถิ่นยอดเยี่ยม หรือ Local Gateway นี้มอบให้กับที่พักซึ่งครอบคลุมทั้งภูมิทัศน์และวัฒนธรรม ท้องถิ่น รวมถึงความแนบเนียนในการร้อยเรียงประสบการณ์พื้นบ้านเข้ากับชีวิตประจำวันของนักเดินทางอีกด้วย
ไม่เพียงแต่โรงแรมที่เข้าชิงเหล่านี้จะตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางอันน่าทึ่งที่สุดในโลก แต่ละโรงแรมยังเพิ่มต่อยอดด้วยความพิเศษ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมที่กลมกลืนไปกับท้องถิ่น ไปจนถึงกิจกรรมและการเดินทางที่ผู้เชี่ยวชาญออกแบบให้พาแขกก้าวออกไปไกลกว่าพื้นที่ของที่พัก ทำให้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
พร้อมเปิดประตูที่มากกว่าการก้าวขาสู่โรงแรม แต่คือการเปิดประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนบนโลกกับเราแล้วหรือยัง?
Longitude 131, ออสเตรเลีย
มีดีอย่างไร: แคมป์หรูหราที่มอบมิติใหม่ด้านธรรมชาติและวัฒนธรรมใจกลางเรดเซ็นเตอร์ (Red Centre) ของประเทศออสเตรเลีย
รีสอร์ต Longitude 131 จะตั้งอยู่ที่ใดบนโลกเป็นไม่ได้ เพราะคุณจะไม่มีทางได้สัมผัสเรดเซ็นเตอร์เหมือนการเข้าพักที่นี่ และหากคุณไม่เคยรู้จักเรดเซ็นเตอร์มาก่อน คุณจะอยากใส่ที่นี่ไว้ในรายชื่อที่อยากไปแน่นอน เพราะใจกลางภูมิศาสตร์ของออสเตรเลียแห่งนี้คือบ้านของทะเลทรายสีแดงอันงดงาม มีโขดหินมหึมาและเก่าแก่ที่สืบทอดความสำคัญในวัฒนธรรมอะบอริจิน (aborigin) มาช้านาน
Longitude 131 คือแคมป์เชิงนิเวศสุดหรูที่ออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยตั้งอยู่ในจุดที่มองเห็นหินทรายขนาดมหึมาอันเป็นสัญลักษณ์ของภูมิภาคอย่างอูลูรู (Uluru) และแม้ว่าสปา ห้องอาหาร และสระว่ายน้ำจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการออกสำรวจหุบเขาและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดึงดูดนักผจญภัยจากทั่วโลก แต่โรงแรมแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่พักเพื่อการพักผ่อนเท่านั้น
นอกจากความหรูหราของเต็นท์อันสะดวกสบายแล้ว แขกยังได้สลับไปมาระหว่างกิจกรรมท่องเที่ยวแบบมีไกด์ และการเยี่ยมชม Field of Light ผลงานศิลปะจากประติมากร บรูซ มูโร (Bruce Muro) ที่ประดับด้วยดอกไม้แก้วเรืองแสงกว่า 50,000 ดอก เปลี่ยนทะเลทรายให้กลายเป็นแสงสีสุดตระการตา ขณะที่ร้านอาหาร Table 131 แขกจะได้ดินเนอร์กลางแจ้งบนเนินทรายส่วนตัวใต้ท้องฟ้าที่พร่างพรายด้วยดาว พร้อมคำบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ และที่บาร์พิเศษซึ่งจัดขึ้นเฉพาะแขกเท่านั้น ทุกคนสามารถจิบแชมเปญหรือเบียร์ออสเตรเลียไปพร้อมกับชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ทอดเงาสีแดงเรืองรองเหนืออูลูรู
จุดเด่น:
- เต็นท์พาวิลเลียน 16 หลังแบบอินดอร์–เอาต์ดอร์ มาพร้อมผ้าม่านควบคุมด้วยรีโมต เตียงคิงไซส์ และทิวทัศน์ของอูลูรู
- Dune Pavilion ที่พักแห่งเดียวในประเทศที่สามารถมองเห็นแลนด์มาร์กธรรมชาติทั้งสอง คือ อูลูรู และคาตาจูตา (Kata Tjuta)
- ทัวร์เต็มวันสู่ Ernabella Arts ศูนย์ศิลปะชนพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย
- ทรีตเมนต์สปาที่ใช้เกลือทะเลทรายท้องถิ่นอุดมด้วยแร่ธาตุ
Tierra Patagonia, อุทยานแห่งชาติทอเรส เดล ไปเน, ชิลี
มีดีอย่างไร: การออกแบบที่กลมกลืนกับธรรมชาติและประสบการณ์เฉพาะบุคคล เปิดโอกาสให้นักเดินทางทุกแบบได้สัมผัสความงดงามอันเลื่องชื่อของพาทาโกเนีย
แบรนด์ Tierra ยังมีรีสอร์ตตั้งอยู่กลางทะเลทรายอาตากามา (Atacama Desert) อันโหดร้ายของชิลี ที่นี่โดดเด่นด้านการเปิดประสบการณ์สำรวจธรรมชาติ โดยมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญนั่งพูดคุยกับแขกเพื่อรังสรรค์แผนการเดินทางที่ปรับให้เหมาะกับการเข้าพักแต่ละครั้งอย่างครบถ้วน นี่เองที่ทำให้โรงแรมของ Tierra สามารถถ่ายทอดความน่าทึ่งของภูมิประเทศได้อย่างเต็มอิ่ม และไม่ท้าทายอย่างที่พาทาโกเนียมักขึ้นชื่อ
งานออกแบบของโรงแรมก็ตอบโจทย์พันธกิจเดียวกัน ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติซึ่งโอบล้อมด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาค โรงแรมถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารแนวยาวโปร่งบาง ด้วยความตั้งใจพิถีพิถันในการลบเส้นแบ่งระหว่างแขกผู้เข้าพักกับธรรมชาติอันโด่งดังและท้าทายรอบด้าน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกระจกทางเดียวที่ทอดยาวจากพื้นจรดเพดาน เปิดโอกาสให้แขกได้ชมฝูงสัตว์ป่าเล็มหญ้าอย่างใกล้ชิดเต็มสายตา โดยที่สัตว์ไม่ถูกรบกวนแม้แต่น้อย
แขกที่เข้าพักหลายคนหลงรักการเดินเล่นสบาย ๆ หรือการส่องสัตว์ป่า ก่อนจะกลับมาผ่อนคลายในเลานจ์พร้อมไวน์ชิลี หรือรับทรีตเมนต์สปาที่เปิดมุมมองสู่พาทาโกเนียจากภายในที่แสนสะดวกสบาย ส่วนสำหรับนักเดินทางสายบู๊ก็ยังคงได้ออกสำรวจโดยไกด์ผู้เชี่ยวชาญช่วยนำทาง
จุดเด่น:
- ห้องพักมินิมอลแสนอบอุ่นได้รับการออกแบบให้วิวภูมิทัศน์ตระการตาเป็นพระเอกของการเข้าพัก
- กิจกรรมสำรวจที่ปรับแต่งได้ตามใจ ตั้งแต่การเดินป่าชมธรรมชาติ ล่องเรือชมธารน้ำแข็ง ไปจนถึงขี่ม้า
- Uma Spa มาพร้อมสระว่ายน้ำในร่มอุ่นล้อมกระจก ซาวน่า และทรีตเมนต์ที่ใช้สมุนไพรพื้นบ้านของชิลี
- อาหารท้องถิ่นและเมนูดั้งเดิม เสิร์ฟคู่กับไวน์ชิลี เบียร์คราฟต์พาทาโกเนีย และค็อกเทลสูตรพิเศษ
Zannier Sonop, ทะเลทรายนามิบ นามิเบีย
มีดีอย่างไร: ดื่มด่ำบรรยากาศทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่างเต็มอิ่มภายในเต็นท์หรูสไตล์วินเทจโรงแรมแห่งนี้พาคุณท่องไทม์แมชชีนสู่ยุคปี 1920 สไตล์โคโลเนียล ผ่านเต็นท์หรูที่ตกแต่งด้วยวัตถุโบราณอย่างกล้องโทรทรรศน์และกล้องส่องทางไกลเพื่อพาแขกก้าวเข้าสู่มุมมองใหม่อย่างสิ้นเชิง นี่เป็นกุญแจสำคัญในการดื่มด่ำการเดินทางสู่นามิเบียแห่งนี้
Sonop มอบประสบการณ์เข้าพักที่เหมือนกับคุณเช็คอินเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์ ด้วยวิวคล้ายผิวดวงจันทร์ที่ไม่ได้เป็นเพียงฉากล้อมรอบแคมป์เต็นท์เท่านั้น แต่ยังถูกผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับที่พักอย่างแนบเนียน เต็นท์สวีทตั้งอยู่เหนือก้อนหินแกรนิตขนาดมหึมา ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแรกที่ทำให้ อาร์โนด์ ซานนิเยร์ (Arnaud Zannier) นักการโรงแรมผู้ประสบความสำเร็จจากเสียมราฐและเทือกเขาแอลป์หันมาสนใจสร้างโรงแรมในนามิเบีย
เขตอนุรักษ์ส่วนตัวขนาด 5,600 เฮกตาร์แห่งนี้ยังเป็นถิ่นอาศัยของเสือดาว ไฮยีนา แจ็คคัล และสุนัขจิ้งจอกทะเลทราย แม้เราจะไม่ได้เห็นสัตว์ป่าในทะเลทรายได้บ่อยนัก แต่เสน่ห์ที่แท้จริงอยู่ที่ความกว้างใหญ่สุดสายตาของวิวที่นี่ซึ่งเห็นได้จากทุกห้องพัก รวมถึงประสบการณ์ทัวร์แบบมีไกด์ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยานไฟฟ้า ขี่ม้าเข้าภูเขา หรือซาฟารีบอลลูนลมร้อนเหนือผืนทราย กล้องโทรทรรศน์เผยให้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับย่ำค่ำคืน นี่เป็นอีกทางเลือกแห่งความบันเทิงที่เติมเต็มประสบการณ์ ควบคู่ไปกับความสุขเรียบง่ายอย่างสปา โยคะ และโรงภาพยนตร์กลางแจ้ง
จุดเด่น:
- ห้องอาหารบรรยากาศสบาย ๆ ควบคู่ไปกับมื้อเย็นห้าคอร์สหรูสไตล์กาลาที่ยกมาเสิร์ฟทุกค่ำคืน
- เลาจน์ซิการ์และค็อกเทลในบรรยากาศสุภาพบุรุษคลาสสิก พร้อมโต๊ะบิลเลียดและเกมสันทนาการ
- เมนูสปาครบวงจร รวมถึงทรีตเมนต์ซิกเนเจอร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากศาสตร์การแพทย์ท้องถิ่น
- สระว่ายน้ำไร้ขอบกลางแจ้งที่เปิดรับวิวทะเลทราย เหมาะสุด ๆ สำหรับการว่ายน้ำตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือใต้แสงดาว
- ลานบินส่วนตัวสำหรับการเดินทางเข้าออก รวมถึงบริการรับส่งรายวันไปยังโรงแรมน้องร่วมเครือ Zannier Omaanda
Post Ranch Inn, บิ๊กเซอร์, สหรัฐอเมริกา
มีดีอย่างไร: ที่นี่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันน่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งของแคลิฟอร์เนีย
บิ๊กเซอร์ในแคลิฟอร์เนียเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โรแมนติกที่สุดของสหรัฐอเมริกาก็ว่าได้ และยังเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ โดยมีโรงแรมเพียงไม่กี่แห่ง แต่ก็อัดแน่นไปด้วยคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก และ Post Ranch Inn ที่ได้รับการออกแบบเชิงนิเวศก็ทำให้ชุมชนเชื่อมั่นในเจตนาที่ดีสำหรับการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ เพราะที่พักของที่นี่กลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมกับธรรมชาติที่สะท้อนจิตวิญญาณ จึงไม่แปลกใจที่สามารถดึงดูดคนรักธรรมชาติมายังที่บิ๊กเซอร์รุ่นแล้วรุ่นเล่า
การได้เจอบ้านพักหรูหราในบิ๊กเซอร์ก็ถือว่าเป็นเรื่องเกินคาด เพราะนี่เป็นพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงแค่แคมป์หรือห้องพักแบบชนบทบ้าน ๆ แต่ที่นี่ไม่หยุดแค่นั้น เพราะดีไซน์ที่โอบรับภูมิทัศน์ไว้อย่างแนบเนียน ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์แบบเดียวกับที่บิ๊กเซอร์เคยสร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินมาอย่างรุ่นแล้วรุ่นเล่า ห้องพักบางหลังยังฝังตัวอยู่บนหน้าผาขรุขระเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมหลังคาสีเขียวคลุมด้วยหญ้าและดอกไม้ป่าที่กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างงดงาม
ที่พักแห่งนี้ยังเน้นความเป็นส่วนตัวและตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างจงใจ ที่นี่ไม่มีโทรทัศน์ เพื่อเชิญชวนให้แขกดื่มด่ำกับทิวทัศน์มหาสมุทรอันเลื่องชื่อของแคลิฟอร์เนีย รวมถึงชวนให้เพลินกับการมองท้องฟ้าที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาว
จุดเด่น:
- ห้องอาหาร Sierra Mar เสิร์ฟอาหารฟาร์มทูเทเบิล พร้อมวิวพาโนรามาเหนือเกลียวคลื่นมหาสมุทร
- ทัวร์สวนเกษตรกินได้ร่วมกับเกษตรกรคนเก่ง เรียนรู้พืชท้องถิ่น เทคนิคการปลูก และลิ้มลองผลผลิตสดใหม่
- สระว่ายน้ำไร้ขอบแบบอุ่นถึง 2 สระที่มองเห็นวิวทะเล พร้อมสระสำหรับว่ายออกกำลังอีกด้วย
- เวิร์กช็อปสมาธิ คลาสโยคะ เดินป่าศึกษาธรรมชาติพร้อมไกด์ และยังมีโปรแกรมฝึกเหยี่ยวสำหรับผู้สนใจด้วย
- ทัวร์ศิลปะพร้อมไกด์เพื่อสำรวจผลงานศิลป์ภายในรีสอร์ต
La Fiermontina Ocean, ลาราเช โมร็อกโก
มีดีอย่างไร: เปิดประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลสุดตระการตาบนชายฝั่งแอตแลนติกตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโมร็อกโก
จากมาร์ราเกชใช้เวลาเดินทางราวหกชั่วโมงโดยรถยนต์ คุณจะพบแทนเจียร์ (Tangier) เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดกับ La Fiermontina Ocean และเมื่อเดินทางต่อราว 7 กิโลเมตรผ่านถนนลูกรังที่เรียงรายด้วยต้นมะกอก คุณก็จะได้พบกับหนึ่งในที่พักที่พิเศษที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มุมงดงามที่ถูกมองข้ามแห่งนี้ของโมร็อกโกแทบไม่อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยม แต่บรรดาวิลลาริมทะเลและบีชคลับสุดหรูคือเครื่องยืนยันถึงความมหัศจรรย์ของทำเลที่ตั้ง ทว่าที่น่าจับตามากกว่านั้นคือมิติด้านมนุษย์และวัฒนธรรม ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของโรงแรมกับองค์กรไม่แสวงหากำไรระดับชาติเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพและผู้ลี้ภัย
ตามพันธกิจของ Fondation Orient Occident ซึ่งจัดกิจกรรมมากมายเพื่อสร้างชุมชน และแนวคิดนี้ก็สะท้อนสู่ประสบการณ์ของแขกด้วยเช่นกัน อาคารของรีสอร์ตตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ Dchier รวมถึงบ้านพื้นถิ่น 4 หลังที่โอบล้อมด้วยสวนมะกอกและเนินเขาเขียวชอุ่ม การเลือกทำเลนี้มีจุดประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้แขกได้เชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กับชุมชนอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากไกด์ท้องถิ่นที่พร้อมพาไปเดินป่าหรือผจญภัยตามแนวชายฝั่ง หนึ่งในประสบการณ์ที่แขกชื่นชมมากที่สุดคือการรับประทานอาหารเช้าในบ้านของครอบครัวของคนในพื้นที่ ถือเป็นการสนับสนุนชุมชนทางตรงอีกด้วย
จุดเด่น:
- มีบ้านหินสไตล์พื้นบ้าน 4 หลัง ในหมู่บ้าน Dchier ตั้งอยู่นอกคอมเพล็กซ์หลักของโรงแรม
ร่วมมือกับ Fondation Orient Occident ในด้านสิ่งแวดล้อมและโครงการชุมชน - ห้องสวีทและวิลล่ามาพร้อมวิวทะเล สวนแกะสลักหิน และสระว่ายน้ำส่วนตัว
- ห้องอาหาร Ocean Restaurant นำเสนออาหารอิตาเลียนและโมร็อกกัน เหมาะสำหรับทั้งแขกและคนท้องถิ่น
- มีบีชคลับส่วนตัวและกีฬาทางน้ำ เช่น เซิร์ฟ แพดเดิลบอร์ด และคายัก
อ่านบทความอื่น ๆ:
- ประกาศรายชื่อโรงแรมเข้าชิงรางวัลสาขา Architecture & Design Award งานประกาศรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ ประจำปี 2568
- ประกาศรายชื่อโรงแรมเข้าชิงรางวัลสาขา Wellness Award งานประกาศรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ ประจำปี 2568
- ทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ ‘กุญแจมิชลิน’ รางวัลที่มอบให้กับโรงแรมอันเป็นเลิศ
- 5 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรจองโรงแรมกับ ‘มิชลิน ไกด์’
Hero Image: Tierra Atacama in the midst of Chilean Patagonia.