โรงแรมที่กล่าวถึงด้านล่างนี้มีรูปทรงที่แตกต่างจากอาคารทั่วไปในโลก แต่นอกเหนือจากแค่ความสวยงามในทางภาพลักษณ์แล้ว การออกแบบของแต่ละแห่งยังมอบประสบการณ์ชั้นยอดในตัวอีกด้วย
หนึ่งในสถานที่ดังกล่าวนี้ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาด ช่วยให้แขกรู้สึกเหมือนได้ล่องลอยอยู่ในน้ำเหนือแนวปะการัง ขณะที่การก่อสร้างอันล้ำสมัยของอีกโรงแรมได้สร้างพื้นที่เปิดโล่งให้ความรู้สึกเย็นสบายเหนือพื้นทะเลทราย ส่วนอาคารโรงแรมของอีกแห่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเกาะนั้นให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ชวนมองไม่รู้จบ หรือราวกับได้พักผ่อนในแกลเลอรีที่มีชีวิตก็ไม่ปาน
ผู้ตรวจสอบได้เลือกโรงแรม 5 แห่งด้านล่างนี้ให้เป็นผู้เข้าชิงรางวัลสาขาที่พักด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบยอดเยี่ยม (Architecture & Design Award) จากงานประกาศรายชื่อโรงแรมที่ได้รับรางวัลกุญแจมิชลิน (MICHELIN Key) ประจำปี 2568 ระดับโลกครั้งแรก ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568 นี้
Atlantis The Royal, ดูไบ
เหมาะกับ: นักเดินทางผู้รักในความหรูหราที่กำลังมองหาสถานที่พักสุดอลังการในหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยความอลังการที่สุดในโลก.
โรงแรมนี้ท้าทายการออกแบบโรงแรมแบบเดิม ๆ ด้วยตึกระฟ้า รูปทรงอันล้ำสมัยของ Atlantis The Royal ยังประกอบด้วยอาคารสูง 6 หลังที่เชื่อมต่อกัน แต่ละหลังประกอบด้วยตึกแถวและอาคารยื่นที่มีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะตัว การออกแบบที่เชื่อมต่อกันอย่างต่อเนื่องนี้ดูงดงามและล้ำสมัย นอกจากนี้ยังสร้างพื้นที่กลางแจ้งที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกและร่มรื่นตามธรรมชาติมากมาย ส่งผลให้รู้สึกไม่เหมือนกับอยู่ในโรงแรมด้วยพื้นที่ร่มและกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยสวน
ห้องพักที่นี่แบ่งเป็นแบบ Skyscapes และ Seascapes และภายในห้องพักได้รับการตกแต่งภายอย่างหรูหราโดยเน้นองค์ประกอบทางน้ำซึ่งเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ที่ซึ่งการแสวงหาน้ำมักถูกกำหนดให้เป็นนิยามของชีวิตประจำวันของคนพื้นถิ่น ทั่วทั้งอาคารแต่ละหลังของโรงแรม มีห้องพักและห้องชุดจำนวน 795 ห้อง ร้านอาหาร 15 แห่ง และสะพานลอยอันน่าตื่นตาตื่นใจที่เชื่อมต่อพื้นที่ชั้นบนของอาคาร
จุดเด่น:
- ประติมากรรมสเตนเลสสตีลสูง 11.5 เมตรที่ล็อบบี้ "Droplets" และน้ำพุส่วนตัวในห้องสวีท รวมถึงสระน้ำที่เชื่อมกับพื้นที่ส่วนกลางของโรงแรม
- ลวดลายเรขาคณิต หน้าต่างกระจกสี และการจัดแสงที่มีความโดดเด่นจากช่างฝีมือท้องถิ่น
- เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น หน้าจอ LED ที่แสดงผลจากตู้ปลาในโรงแรม มีสัตว์ทะเลมากถึง 7,200 ตัว
- สระน้ำไร้ขอบขนาด 90 เมตรที่ชั้น 22 ให้วิวที่สวยงามของ The Palm และอ่าว
สำรวจโรงแรมอื่น ๆ ใน ‘มิชลิน ไกด์’ ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ โคห์น พีเดอร์เซน ฟ็อกซ์ (Kohn Pederson Fox):
Shebara Resort, ซาอุดีอาระเบีย
เหมาะกับ: คู่รักและครอบครัวที่หลงใหลในการผจญภัยและต้องการประสบการณ์ที่ใกล้ชิดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเหนือแนวปะการังบริสุทธิ์ของซาอุดีอาระเบีย
นี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Red Sea ซึ่งเป็นความพยายามขนาดใหญ่ในการพัฒนาชายฝั่งตะวันตกของซาอุดีอาระเบีย โดย Shebara Resort เป็นวิลล่าที่ตั้งอยู่บนผิวน้ำของมัลดีฟส์ นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำและเล่นสกูบาตามแนวปะการังที่มีชีวิต และวิลล่าทั้ง 73 หลังยังถูกออกแบบให้มีรูปร่างเหมือนไข่มุกระยิบระยับ โดยสร้างจากที่อื่นแล้วขนย้ายมาเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนธรรมชาติ วิลล่าทั้ง 38 หลังตั้งอยู่เหนือผิวน้ำ และถูกยึดด้วยเสาสูงบาง ๆ ที่ไม่ทำให้พื้นทะเลได้รับผลกระทบมากที่สุดอีกด้วย
วิลล่าแต่ละหลังได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของรีสอร์ท ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ โรงงานผลิตน้ำจืดและน้ำกร่อยแบบรีเวิร์สออสโมซิส และระบบขนส่งพลังงานไฟฟ้าล้วน ทำให้รีสอร์ทได้รับมาตรฐาน LEED Platinum ภายในวิลล่าแต่ละหลังที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ให้ความรู้สึกเบาสบายราวกับตัววิลล่าเอง ตกแต่งด้วยเหล็กขัดเงาและเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ
จุดเด่น:
- ร้านอาหารวิวทะเล 5 แห่ง รวมถึงโอมากาเสะ, ร้านปิ้งย่างติดทะเลสำหรับครอบครัว, ร้านพาสตาโฮมเมด และบาร์กลางสระว่ายน้ำสำหรับผู้ใหญ่
- สปาในร่มและกลางแจ้งพร้อมห้องอาบน้ำฮัมมัมแบบตุรกี, ศาลาโยคะ, สนามเทนนิสและปาเดล และสระว่ายน้ำกลางแจ้งหลายแห่ง
- ทัวร์ดำน้ำและสกูบาที่นำโดยไกด์ทั่วแนวปะการังขนาดใหญ่ รวมถึงประสบการณ์การเห็นแสงไฟชีวภาพยามค่ำ
Rosewood São Paulo, บราซิล
เหมาะกับ: ชาวเมืองและครอบครัวที่มองหาการพักผ่อนหย่อนใจแบบหรู เคียงไปกับการเปิดประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมของบราซิลคู่ไปกับการออกแบบอันล้ำสมัย ทั้งยังสามารถเดินเลียบชายหาดอันโด่งดังของเซาเปาโลได้ด้วย
จากโครงการ Cidade Matarazzo ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอาคารเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 20 และปัจจุบันเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แบบผสมผสานที่มีชีวิตชีวา กลายมาเป็นอาคารสวนแนวตั้งสูง 93 เมตร สูง 22 ชั้น อาคาร Rosewood Tower สร้างขึ้นอย่างโดดเด่นด้วยโครงไม้ระแนงและต้นไม้พื้นเมืองของป่าฝน Mata Atlantica กว่า 10,000 ต้น การออกแบบที่ล้ำสมัยของ Rosewood Tower ยังช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองด้วยการนำพืชพันธุ์พื้นเมืองกลับคืนสู่ภูมิทัศน์ของเมือง อาคารทั้งสองตั้งอยู่ติดกับหอผู้ป่วยหลังคลอดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องพัก 160 ห้อง ห้องสวีทสำหรับผู้เข้าพักกว่า 100 ห้อง สระว่ายน้ำ 2 สระ และร้านอาหาร 6 แห่ง
ห้องพักและพื้นที่สาธารณะของที่นี่ยังคงรักษาปรัชญา “Sense of Place” อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ ควบคู่ไปกับการรำลึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์และอนาคตที่ยั่งยืนของบราซิล ภายในห้องพักตกแต่งด้วยวัสดุท้องถิ่น 100% ได้แก่ ไม้ หินอ่อน เฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ และคอลเล็กชันงานศิลปะต้นฉบับ 450 ชิ้น จากศิลปินชาวบราซิล 57 คน
จุดเด่น:
- ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดด้วยมืออันโดดเด่น จำลองท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนามธรรมที่ประดับอยู่เหนือบาร์แจ๊ส Rabo di Galo ในยุค 1930s ซึ่งใช้เวลาในการออกแบบถึง 68 ชั่วโมง
- สระว่ายน้ำไร้ขอบบนดาดฟ้าพร้อมวิวเส้นขอบฟ้า และสระว่ายน้ำที่ตกแต่งด้วยพื้นโมเสก พร้อมโอบล้อมด้วยแมกไม้เขตร้อน.
- สปาและฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ทันสมัย พร้อมห้องบำบัดที่เรียงรายไปด้วยกระจกเงา และชั้นวางคริสตัลควอตซ์ใสจากบราซิลกว่า 400 ชิ้น
- โบสถ์ Santa Luzia สร้างขึ้นในปี 1922 และได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีกุหลาบประดับกระจกสีที่ออกแบบโดย วิค มูนิซ (Vik Muniz) ศิลปินชาวบราซิลชื่อดังระดับโลก
สำรวจโรงแรมอื่น ๆ ใน ‘มิชลิน ไกด์’ ที่ออกแบบโดยสถาปนิก ฌอง นูเวล (Jean Nouvel):
Benesse House, ญี่ปุ่น
เหมาะกับ: ผู้รักการเสพงานศิลป์ และคู่รักที่ต้องการการพักผ่อนริมทะเลที่อยากเข้าถึงถึงงานศิลปะและการออกแบบร่วมสมัยชั้นยอด
การออกแบบเชิงปฏิวัติของ Benesse House ถูกสร้างขึ้นในปี 1992 โดย ทาดาโอะ อันโด (Tadao Ando) สถาปนิกระดับรางวัล Pritzker และเป็นหนึ่งในสถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยการผสมผสานพื้นที่จัดแสดงและห้องพักแขกเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างพิพิธภัณฑ์และโรงแรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บนเกาะนาโอชิมะ หนึ่งในหลายเกาะในทะเลในของญี่ปุ่น ประกอบด้วยปีกอาคารสี่ด้านที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม สถานที่น่าสนใจ และห้องพักแขกที่โดดเด่นรูปทรงคอนกรีตแบบมินิมอลของส่วน Museum ผสานเข้ากับภูมิทัศน์ชายฝั่งบางส่วน ขณะที่ Oval ประกอบด้วยสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่สะท้อนแสง ล้อมรอบด้วยระเบียงอาบแดด และ Park ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารของอันโดที่หายากที่ผสมผสานงานไม้เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเส้นแบ่งระหว่างภายในและภายนอกอย่างงดงาม และ Beach ที่มีเส้นสายการมองเห็นที่สอดคล้องกับผิวน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโครงสร้างลอยน้ำ
ห้องพักแขกทั้ง 65 ห้องที่กระจายตัวอยู่ระหว่างอาคารต่าง ๆ โดดเด่นด้วยสไตล์มินิมอลและความเรียบง่ายแบบเรขาคณิต ทุกห้องมีขนาดกว้างขวาง โดดเด่นด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายและหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่โอบล้อมทัศนียภาพของทะเล สวน และเทือกเขาชิโกกุที่อยู่ไกลออกไป
จุดเด่น:
- การจัดวางที่ชวนดื่มด่ำ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้มาเยือนเยี่ยมชมแกลเลอรีและผลงานศิลปะจัดวางของศิลปินอย่าง เดวิด ฮอคนีย์ (David Hockney), เจมส์ เทอร์เรลล์ (James Turrell), ยาโยอิ คุซามะ (Yayoi Kusama) และแอนดี วอร์ฮอล (Andy Warhol)
- สวนประติมากรรมริมทะเลและในป่าใกล้เคียงผสมผสานพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
- ร้านอาหารและสปาที่โอบล้อมด้วยกระจก แสงสว่าง และวิวน้ำ รวมถึงอ่างอาบน้ำสมุนไพรกลางแจ้งริมทะเล
- ห้องพักสุดพิเศษ 6 ห้องในส่วน Oval: ตั้งอยู่บนยอดเขาและสามารถเข้าถึงได้ด้วยรถไฟฟ้าโมโนเรลส่วนตัวเหนือระดับน้ำทะเล
สำรวจโรงแรมอื่น ๆ ใน ‘มิชลิน ไกด์’ ที่ออกแบบโดยสถาปนิก ทาดาโอะ อันโด:
Villa Nai 3.3, โครเอเชีย
เหมาะกับ: คู่รักหรือนักเดินทางเดี่ยวที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว สุขภาพที่ดี ธรรมชาติ และการผจญภัยทางอาหารในจุดหมายปลายทางบนเกาะเล็ก ๆ ของยุโรปที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
Villa Nai 3.3 ตั้งอยู่บนเกาะดูกีโอต็อกในทะเลเอเดรียติก ที่พักสุดหรูเชิงนิเวศแห่งนี้ยังถูกถูกสร้างโดยแกะสลักลงบนเนินเขาโดยตรง หินที่ขุดขึ้นมาได้ถูกนำมาประกอบเป็นวัสดุหลักของอาคาร ซึ่งเป็นทางเลือกการออกแบบที่ล้ำสมัยเพื่อลดการปล่อยมลพิษอีกด้วย โรงแรมตั้งอยู่ท่ามกลางสวนมะกอกขนาด 40,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกน้ำมันมะกอกระดับรางวัล โดยวิธีการสร้างอาคารแบบดั้งเดิมของชาวดัลเมเชียนถือเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นชวนมองของโรงแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผนังหินแห้ง ซึ่งเป็นเทคนิคที่หินถูกวางซ้อนกันอย่างประณีตโดยไม่ใช้ปูนเพื่อสร้างระเบียงและผนังที่ขึ้นรูปอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ได้คือการผสมผสานระหว่างอาคารและสภาพแวดล้อมที่ล้อไปกับภูมิทัศน์ จนแทบจะมองไม่เห็นในภูมิประเทศที่ขรุขระของเกาะ ชวนให้ผู้เข้าพักดื่มด่ำไปกับบรรยากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม
การตกแต่งภายในของอาคารยังสง่างามไม่แพ้ภายนอกอาคาร ห้องพักทั้ง 8 ห้องได้รับการตกแต่งอย่างประณีตด้วยวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ หินอ่อนอิตาลี ผ้าปูที่นอน Frette และงานไม้ ลายเส้นที่สะอาดตา และโทนสีเรียบ ๆ ที่เสริมแต่งจิตวิญญาณแห่งความยั่งยืนของโรงแรม
จุดเด่น:
- ห้องดีลักซ์ 5 ห้องและห้องสวีท 3 ห้อง ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างช่องแสงบนหลังคา อ่างอาบน้ำแบบสแตนด์อโลน และลานส่วนตัวที่ขยายพื้นที่ใช้สอยให้ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ
- โคมไฟระย้า ‘Swords’ ขนาด 1.6 เมตรของ Giorgetti ได้รับออกแบบพิเศษเพื่อให้เข้ากับในล็อบบี้โดยเฉพาะ
- ห้องอาหารภายในโรงแรมชูโรงน้ำมันมะกอกที่ได้รับรางวัลของโรงแรม เห็นได้จากทั้งจานอาหารและผนังกระจก
- ระบบน้ำที่ผ่านการคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างดีซึ่งถูกนำมาประยุกต์ใช้ทั่วทั้งโรงแรม ช่วยให้มีน้ำที่ผ่านการกรองและบำบัดน้ำเค็มในห้องน้ำ และมีสระว่ายน้ำเค็มขนาดยาว และใช้การชลประทานด้วยน้ำฝนที่รีไซเคิล
สำรวจโรงแรมอื่น ๆ ใน ‘มิชลิน ไกด์’ ที่ออกแบบโดยสถาปนิก นิโคลา บาซิช (Nikola Bašić):
อ่านบทความอื่น ๆ:
ภาพเปิด: Shebara Resort